จากการที่ผมเฝ้ามองมาตลอด ผมพบว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยมิได้มีภาพที่สวยหรูนักเหมือนที่นักเศรษฐศาสต์ และผู้คนหลายฝ่ายพร่ำบอกกัน มาเริ่มจากการเก็บข้อมูลเล็กๆน้อยของผมเลย
เริ่มแรกผมชื่นชอบตลาด Forex มากจึงทำการเฝ้าติดตามอยู่เสมอๆ ผมเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินสกุลหลักของโลก สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดการเงินใหญ่ๆของโลก
กราฟนี้คือ ทองคำ ใน Time frame day จะพบว่าทองคำมีราคาตกลงมาจากราคาบนสุด(โดยประมาณ)ที่ 1920 เหรียญ จนลงไปเหลือประมาณ 1000 เหรียญ ที่จะบอกคือในช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่ข่าวดีต่างออกมามากมายคนแห่ซื้อทองกันเพราะหวังว่ามันจะขึ้นไปมากกว่า 2500 เหรียญแต่สุดท้ายมันก็ตกลงมาเกือบ 1000 เหรียญ คนแห่ขายกัน ไอ้รายใหญ่ก็เข้าไปรับซื้ออีกละมันก็เริ่มยกหัวค่อยๆกลับขึ้นมาอีกครั้ง 555
ไม่เพียงเท่านั้นคุณจะเห็นการตกต่ำของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆเช่น
ราคาธัญพืช [Time frame year]
ราคาน้ำตาล [Time frame year]
ราคาถั่วเหลือง[Time frame year]
ราคาข้าวโพด [Time frame year]
แม้แต่ตอนนี้ราคายางจะปรับตัวขึ้นมาหน่อยจากราคาตลากโลกหลังจากที่ดิ่งหัวลงมาตลอดเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
ราคายางพารา [Time frame years (5 ปี)]
อ้างอิงจาก http://www.tradingeconomics.com
ที่ผมสนใจพวกสินค้าโภคภัณฑ์เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและมีการส่งออกเป็นหลัก ทำให้สินค้าพวกนี้จึงน่าสนใจสำหรับผม ผมได้ทำการไล่ดูหุ้นในประเทศไทยและสนใจหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง คือบริษัท น้ำตาลขอนแก่น ผมพบว่าราคาหุ้นนั้นถูกมากเพราะกำไรหาย หนี้สินเพิ่ม แต่ด้วยความที่ผมเฝ้ามองมาตลอดจึงเห็นว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวขึ้มมาหลายเท่า ทำให้หุ้นตัวนี้น่าสนใจ
ที่ผมเริ่มมองคือราคาไปอยู่แถวๆ 3 บาท แต่ตอนนี้มันขึ้นมา 4.10 ซะแล้ว 555 (ผมไม่ได้เล่นหุ้นนะ แค่ชอบเฝ้ามอง หากวันไหนผมพร้อมก็คงไม่พลาดที่จะลงทุนในตลาดการเงินพวกนี้เช่นกัน)
ที่กล่าวมาต้องการจะบอกว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมดกำลังเริ่มกลับตัวขึ้น และอย่างที่กล่าวไปในตอนต้นเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ด้วยเม็ดเงิน ดังนั้นผมจึงมองว่าตอนนี้มีเม็ดเงินจำนวนหนึ่งเคลื่อนที่เข้าไปในภาคการเกษตรแล้ว และจะเห็นข่าวมากมายเกี่ยวกับการพัฒนาด้านการเกตร เช่น Smart farm หรือ Start up ด้านนี้ (ติดตามได้จาก คลิกที่นี่) ผมซึ่งเรียนจบแล้วจึงอยากทำธุรกิจบางอย่างแต่หากจะลงมือด้านการเกษตรแล้วทำพวก Smart farm มันคงจะใช้เงินทุนที่สูงน่าดู อีกทั้งต้องมีที่ดินที่ใหญ่พอสมควร ดังนั้นจึงพยายามจะหาเงินจากด้านอื่นไปก่อน ผมพบว่าเศรษฐกิจฝืดมาก การจับจ่ายใช้สอยน้อย สภาพคล่องต่ำ และประชาชนไทยมีหนี้สินต่อครัวเรือนที่สูงมาก
จะเห็นว่าประชาชนเป็นหนี้เพิ่มขึ้นในทุกๆปี พระเจ้าเกิน 80% เข้าไปแล้ว แถม NPL สูงขึ้นทุกปี
ตอนนี้ NPL คงทะลุ 3% ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมว่ามันเป็นอะไรที่แปลกนะ หนี้เยอะอยู่แล้วแต่มนุษย์ก็ยังกู้เพิ่มและเพิ่มขึ้นอีก จากข้อมูลผู้อ่านคงจะตกใจไม่น้อยว่าทำไมหนี้สินคนไทยจึงมากขนาดนี้แถมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆปี ประกอบกับการเบี้ยวหนี้ก็สูงขึ้น สังเกตุได้จากข่าวดังช่วงนี้คือ การไม่ยอมจ่ายหนี้ กยศ. ทั้งที่มันไม่ได้นักหนาเลยสำหรับผู้ที่กู้ยืมแต่เค้าก็ไม่จ่ายกันซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก (หาอ่านเพิ่มเอาได้) ดังนั้นแล้วรัฐบาลและผู้มีความรู้ก็ดำเนินนโยบายเดิมๆซ้ำๆ คือการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลคือมันไม่กระดิกขึ้นเลย ยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิมแม้จะเหลือแค่ 1.75% เพราะมองว่าจะทำให้เงินบาทอ่อนอันส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เพื่อหวังอุ้มส่งออกอันเป็นรายได้หลักของประเทศ
จากรูปเป็นการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ประกาศอัตราดอกเบี้ยติดลบ เช่น ญี่ปุ่น เพื่อสกัดเงินที่ทะลักเข้าประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน แต่กลับสามารถทำได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรอกเพราะมันไม่ใช่สภาวะปกติเสียแล้ว ภาวะเงินเฟ้อก็สูงขึ้น หากอยากเข้าใจคงต้องไปฟัง Ray dalio อธิบายแล้วหละว่าไอ้ภาวะนี้มันเกิดได้อย่างไรในคลิป how the economic machine works. คลิกที่นี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น