วันนี้ไปเจอบทความดีๆเกี่ยวกับมูลค่าการลงทุนของต่างชาติในแถบ AEC เรา มาดูกันว่าประเทศไหนมีการเข้าไปลงทุนของแหล่งเงินจากต่างชาติมากที่สุด
ตั้งแต่ปี 2549 - 2554
1. สิงคโปร์ 63,997.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.27)
2. อินโดนีเซีย 19,241.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.73)
3. มาเลเซีย 12,000.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.07)
4. ไทย 7,778.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ลดลงร้อยละ 14.64)
5. เวียดนาม 7,430.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (ลดลงร้อยละ 7.13)
6. ฟิลิปปินส์ 1,262.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (ลดลงร้อยละ 2.77)
7. บรูไนฯ 1,208.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 93.20)
8. กัมพูชา 891.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.94)
9. สปป.ลาว 300.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ลดลงร้อยละ 9.59)
10. พม่ายังไม่มีข้อมูลเนื่องด้วยขณะเขียนบทความยังจัดทำไม่แล้วเสร็จ
ประเทศที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนสูงที่สุด 3 อันดับแรกในปี 2554 นั้น ประกอบด้วย
สหภาพยุโรป 18,240.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 15.98) ,ญี่ปุ่น 15,015.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 13.16) และจีน 6,034.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 5.29) ตามลำดับ
ในปี 2556 อินโดนีเซียมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มูลค่าเท่ากับ 870,902 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่แท้จริงที่ร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับปี 2555 ซึ่งเป็นการขยายตัวในระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 ที่เศรษฐกิจอินโดนีเซียขยายตัวได้ไม่ถึงร้อยละ 6.0 ต่อปี ขณะที่ เงินเฟ้อทั่วไปในปี 2556 สูงสุดในรอบ 4 ปี โดยอยู่ที่ร้อยละ 8.4 ต่อปี เนื่องจากรัฐบาลการลดการอุดหนุนน้ำมันและราคาอาหาร
ในปี 2556 พบว่า อินโดนีเซียมีมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งสิ้น 182,569 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการหดตัวร้อยละ -3.6 ต่อปี ขณะที่มีมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 186,630 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นการหดตัวร้อยละ -2.6 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ด้วยมูลค่าการส่งออกสินค้าที่น้อยกว่าการนำเข้าส่งผลให้ในปี 2556 มีการขาดดุลการค้าอยู่ที่ –4,063.98 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ -0.47 ของ GDP
ด้านการท่องเที่ยว
ในปี 2556 พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศอินโดนีเซียทั้งสิ้น 8.8 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลได้วางไว้เมื่อต้นปี 2556 ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 8.5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 7.2 ต่อปี และสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2550 - 2555 ที่ร้อยละ 7.9 ต่อปี ทั้งนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2556 คิดเป็นประมาณ 9.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือขยายตัวร้อยละ 8.2 ต่อปี
ด้านการลงทุน
ในปี 2556 มีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 398.6 ล้านล้านรูเปียห์คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 27.3 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลที่วางไว้ที่ 283.5 ล้านล้านรูเปียห์ ทั้งนี้ เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อยู่ที่ 270.4 ล้านล้านรูเปียห์ หรือขยายตัวร้อยละ 22.4 ต่อปี และการลงทุนในประเทศจำนวน 128.2 ล้านล้านรูเปียห์ หรือขยายตัวร้อยละ 33.0 ต่อปี
ผมสังเกตุในส่วนนี้ โดยในจุดที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคืออัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ แต่จากขอมูลมีแนวโน้มว่ามันจะลดลง (ข้อมูลที่ปรากฎเป็นชุดข้อมูลเก่าจัดทำขึ้นเมื่อปี 2557) เอาไว้บทความหน้าผมค่อยมาเจาะกันเรื่องอัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซียละกัน คือดูๆแล้วก็ดูดีขึ้นหมดอะนะ เจ้าภาพรวมที่เค้าคาดการณ์กันไว้ในอนาคตทั้งเงินเฟ้อ การว่างงาน ดุลการค้า ซึ่งอย่างหลังนี่แย่หน่อย 555 เพราะพยายามจะลดการนำเข้าและผลักดันให้ประเทศตนเองเป็นอีกหนึ่งในผู้ส่งออกที่สำคัญ
สำหรับประเทศอินโดนีเซียนั้นนับว่ามีจุดแข็งและข้อเสียอีกมากซึ่งผมจะไม่พูดในที่นี้ (หากท่านสนใจไปตามอ่านได้ที่บทความที่ผมจะแปะไว้ให้ด้านใต้ข้อความ) แต่มีการทำสรุปความยากง่ายในการเข้าไปทำธุรกิจดังนี้
ด้วยจำนวนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเกื้อหนุนให้กำลังซื้อของชาวอินโดนีเซียสูงขึ้นในระยะยาว ดังนั้น สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานจะได้รับความสนใจจากชาวอินโดนีเซียมากขึ้น ภาคธุรกิจไทยที่เกี่ยวข้องจึงอาจพิจารณาเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเนื่องจากแรงงานมีจำนวนมากและมีความเข้าใจเรื่องเสื้อผ้าเป็นอย่างดีโดยเฉพาะการประยุกต์แฟชั่นและแนวคิดในการพัฒนารูปแบบต่างๆ ของเครื่องนุ่งห่ม และอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับการส่งออกของไทย โดยที่ผู้ประกอบการไทยมีแรงงานฝีมือด้านการทำเครื่องประดับที่โดดเด่นในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ความต้องการใช้อัญมณีและเครื่องประดับของชาวอินโดนีเซียก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ใช้อัญมณีและเครื่องประดับในการตกแต่งเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้ดูสวยโดดเด่น นอกจากนี้ บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมข้างต้น
เช่น ค้าปลีก โรงแรม และการท่องเที่ยวก็เป็นสาขาที่น่าสนใจเช่นกัน
โดยสรุปในภาพรวมแล้ว นักลงทุนไทยมีศักยภาพสูงที่จะเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในเมืองเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ประกอบด้วย จาการ์ตา (Jakarta) สุราบายา (Surabaya) และบันดุง (Bandung) แต่ก็ควรตระหนักถึงอุปสรรคและประเด็นที่ควรคำนึงหลายประการเกี่ยวกับการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียด้วย ได้แก่ ขั้นตอนของระบบราชการที่มีอยู่มาก ภูมิประเทศที่เป็นเกาะแก่ง ทำให้การคมนาคมขนส่งยากขึ้น ความหลากหลายของชนชาติและวัฒนธรรม โดยเฉพาะในด้านการดำเนินธุรกิจที่อาจสร้างปัญหาบางประการ การแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้นโดยเฉพาะการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกของประเทศคู่แข่ง เช่น จีน เวียดนามและอินเดีย การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบด้านการลงทุนความเสี่ยงทางการเมือง เช่น ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาความขัดแย้งของชนกลุ่มน้อยต่างๆความซับซ้อนและไม่สอดคล้องกันของกฎหมายและนโยบายระดับชาติกับท้องถิ่น รวมถึง การขาดความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนของการลงทุนและการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นกัน ภาคธุรกิจไทยจึงควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ก่อนเข้าไปลงทุนด้วย รวมทั้งควรพิจารณาสร้างพันธมิตรกับนักลงทุนท้องถิ่นในอินโดนีเซียที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่จะไปลงทุนและมีธรรมาภิบาลในการทำธุรกิจ ก็จะสามารถช่วยลดปัญหาและอุปสรรคลงไปได้บ้าง
จัดว่าเป็นทบความที่ดีมากๆ ได้ข้อมูลการลงทุนในมุมมองที่ผมนึกไม่ถึงมากมายและได้ข้อมูลใหม่ๆ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมตัดมาให้อ่านกันความจริงอยากเอามาลงให้มากกว่านี้แต่มันเยอะมากมีทั้งหมด 144 หน้า หากท่านใดสนใจสามารถไปหาอ่านได้ที่ ASEAN INVESTMENT GUIDE BOOK ของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เค้าจะแยกทำเป็นรายประเทศไปท่านสามารถเลือกอ่านประเทศที่ท่านสนใจได้ แต่สำหรับบทความนี้เป็นของประเทศอินโดนีเซียครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น