ชีวิตของเรานั้นย่อมเจอเข้ากับสถานะการต่างๆที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต บ่อยครั้งที่เราจำเป็นต้องเลือก จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจ และจำเป็นต้องยอมเสียบางอย่าง . . .
ผมมีโอกาสได้ดูการ์ตูนเรื่อง Fate Zero ซึ่งบอกได้เลยว่าสนุกมาก หลายๆคนบอกผมว่าโตแล้วจะดูการ์ตูนไปทำไม โดยส่วนตัวผมคิดว่าการดูการ์ตูนนั้นไม่ได้จำกัดเรื่องอายุหรอกนะ มิใช่เพียงแค่เด็กเล็กๆเท่านั้นที่ดูการ์ตูน และการ์ตูนก็มีประโยชน์มากมายหากเรามองเห็นซึ่งนัยที่แฝงอยู่ของมัน เช่นเดิมวันนี้ผมจะนำเสนอส่วนที่ผมชื่นชอบจากการ์ตูนเรื่อง Fate Zero เป็นคลิปสั้นๆที่ผมทำไว้ ลองดูกันนะครับ
จากคลิปเป็นตอนที่ตัวเอกของเรื่อง (คิริซึมุ) จำใจต้องสังหารหญิงที่เปรียบเสมือนแม่ของตน เพียงเพราะว่ามี
ภัยอันตรายร้ายแรงอยู่บนเครื่องบินลำนั้น หากปล่อยให้ลงจอดได้จะต้องมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก เค้าจึงตัดสินใจลงมือทำลายเครื่องบินลำนั้นด้วยความเจ็บปวด . . . มาคิดๆดูผมว่าชีวิตผมนั้นก็มีเรื่องที่ต้องให้ตัดสินใจอยู่เสมอๆ ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นเด็กอ้วนมากๆ (น้ำหนัก 95 กก.) และเหตุที่อ้วนก็เพราะวันๆผมนั่งเล่นแต่เกมส์ เลิกเรียนก็วิ่งเข้าร้านเกมส์เล่นมันยันค่ำ กลับถึงบ้านก็เล่นต่อถึงดึก พอตอนเช้าก็ไปหลับในคาบเรียนเอา 555 ผมว่าหลายๆท่านก็คงเป็นกัน อยู่มาวันหนึ่งผมมีโอกาสได้รู้จักพี่ต้านจาก Mudley Group เพราะพี่เค้ามักสอน และให้ความรู้เกี่ยวกับการเงินทาง Youtube ผมจัดเป็นกลุ่มแรกๆที่เริ่มเข้านั่งฟังพี่เค้าถ่ายทอดสดการสอนและให้ความรู้ จำได้ว่าตอนนั้นมีคนดูประมาณ 8-11 คนนี่แหละคลิปที่ผมเข้าดูเป็นคลิปที่ 4 ตั้งแต่พี่เค้าเริ่มทำ Channel จนปัจจุบันนี้มีคนเข้าฟังเกือบ 200 คนในขณะถ่ายทอดสด และมีการเข้าชมย้อนหลังหลายพันครั้ง และผมก็ดูทุกคลิปไม่เคยพลาดเลย มาวันหนึ่งพี่เค้าพูดถึงเรื่อง Mental หรือสภาพจิตใจ ว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างมากในการช่วยให้เราก้าวข้ามเหนือคนอื่นได้ที่เรียกว่า "In the zone" กล่าวคืออยู่ในสภาวะที่สามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของร่างกายได้สูงมาก ยิ่งกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว
ภัยอันตรายร้ายแรงอยู่บนเครื่องบินลำนั้น หากปล่อยให้ลงจอดได้จะต้องมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก เค้าจึงตัดสินใจลงมือทำลายเครื่องบินลำนั้นด้วยความเจ็บปวด . . . มาคิดๆดูผมว่าชีวิตผมนั้นก็มีเรื่องที่ต้องให้ตัดสินใจอยู่เสมอๆ ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นเด็กอ้วนมากๆ (น้ำหนัก 95 กก.) และเหตุที่อ้วนก็เพราะวันๆผมนั่งเล่นแต่เกมส์ เลิกเรียนก็วิ่งเข้าร้านเกมส์เล่นมันยันค่ำ กลับถึงบ้านก็เล่นต่อถึงดึก พอตอนเช้าก็ไปหลับในคาบเรียนเอา 555 ผมว่าหลายๆท่านก็คงเป็นกัน อยู่มาวันหนึ่งผมมีโอกาสได้รู้จักพี่ต้านจาก Mudley Group เพราะพี่เค้ามักสอน และให้ความรู้เกี่ยวกับการเงินทาง Youtube ผมจัดเป็นกลุ่มแรกๆที่เริ่มเข้านั่งฟังพี่เค้าถ่ายทอดสดการสอนและให้ความรู้ จำได้ว่าตอนนั้นมีคนดูประมาณ 8-11 คนนี่แหละคลิปที่ผมเข้าดูเป็นคลิปที่ 4 ตั้งแต่พี่เค้าเริ่มทำ Channel จนปัจจุบันนี้มีคนเข้าฟังเกือบ 200 คนในขณะถ่ายทอดสด และมีการเข้าชมย้อนหลังหลายพันครั้ง และผมก็ดูทุกคลิปไม่เคยพลาดเลย มาวันหนึ่งพี่เค้าพูดถึงเรื่อง Mental หรือสภาพจิตใจ ว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างมากในการช่วยให้เราก้าวข้ามเหนือคนอื่นได้ที่เรียกว่า "In the zone" กล่าวคืออยู่ในสภาวะที่สามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของร่างกายได้สูงมาก ยิ่งกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว
เอาจริงๆนะผมฟังแรกๆขำมากพูดเหมือนเป็นยอดมนุษย์ แต่พอลองศึกษาและฟังดูแล้วพบว่ามันมีจริงๆโดยเฉพาะวงการกีฬา ทำไมต้องควบคุมอาหาร? ความคุมเวลาการนอน? วัดระดับออกซิเจนในกระแสเลือด? เช็คคลื่นสมอง? ออกกำลังกายเฉพาะส่วน? และสำคัญที่สุดคือต้องฝึกฝน
คนเรานั้นละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จนมองไม่เห็นถึงความสำคัญของมัน และนี่แหละคือจุดต่าง คำว่ามืออาชีพนั้นแน่นอนว่าต่างคนต่างเก่ง ต่างมีประสบการณ์โชกโชนทั้งนั้น แต่สิ่งที่ทำให้แต่ต่างคืออะไร? ผมเห็นชัดเจนเลยคือการยิงลูกโทษในกีฬาฟุตบอล บางคนยิงหลุดข้ามคานไปเยอะ บางคนยิงเบา บางคนยิงชนเสา ความผิดพลาดเหล่านี้เกิดจากแรงกดดันทั้งนั้นครับ พวกเค้าซ้อมกันมาเป็นอย่างดีชนิดที่ว่าซ้อมยิงกันเป็นพันๆลูก ดังนั้นการยิงจุดโทษแย่ๆส่วนใหญ่เกิดจากแรงกดดัน เห็นมั๊ยจุดเล็กๆแต่ทำให้แพ้ได้ ไม่ใช่แค่ฟุตบอลนะครับ วงการเกมส์ก็มีเหมือนกันคือ บางเกมส์ทั้ง 2 ทีมมีฝีมือสูสีกันมากทำให้จบเกมส์ไม่ได้และช่วงท้ายเกมส์หากใครพลาดแม้แต่นิดเดียวเท่ากับแพ้ทันที ผมดูมาเยอะ ทั้ง 2 ทีมจะรอและเล่นตามแผน บางเกมส์นานมาก 100 นาทีขึ้นไปก็มี คุณรู้มั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้น? มันจะมีคนๆหนึ่งหมดความอดทนกับการรอ คือมันกดดันมากๆยิ่งรอยิ่งจะเสียบเปรียบ หรือจะรอไปทำไมวะบุกเลยดีกว่า และก็ตามเคยครับใครหลุดก่อนแพ้ทันที เพราะต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝั่งเดินเกมส์พลาด ดังนั้นถ้าพูดกันในระดับมืออาชีพแล้วตัวตัดสินความต่างก็คือ จิตใจ นั้นเอง. . .ความจริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะมากๆแต่ผมคงจะไม่เล่าทั้งหมดเพราะมันจะกลายเป็นบทความที่โครตยาว -..- เอาเป็นว่าผมเชื่อและอยากลองทำดู อยากลองก้าวข้ามขึ้นไปอีกขั้น ผมอยากจะรู้ว่ามันจะจริงรึเปล่า
ขอบอกก่อนเลยว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปเอามากๆดังนั้นแล้วรูปตอนที่ผมอ้วนคงจะหายากและดูไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ผมในรูปนั้นนำหนัก 95 นะครับ O_o
ขั้นแรกเราต้องทำให้ตัวเองมีร่างกายที่พร้อมสมบูรณ์ก่อน เพราะเรากินทุกอย่างที่อยากเข้าไป ดังนั้นเราต้องลดปริมาณอาหาร และเลือกกินเฉพาะของที่ดีต่อสุขภาพ
ขั้นที่สองเราต้องออกกำลังกายครับเพราะจะเป็นการฝึกให้สมองได้ใช้ออกซิเจนในปริมาณที่จำกัด โดยกีฬาที่ได้ผลที่สุดคือการว่ายน้ำ แต่ผมไม่ว่างพอที่จะทำแบบนั้นจึงเลือกที่จะวิ่งและเล่นบาสแทน
ขั้นที่สามคือการฝึกครับฝึกทั้งควบคุมอารมณ์และค้นคว้าหาความรู้
ผมลดปริมาณอาหารลงเหลือเพียง 1000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน แทบจะไม่ได้กินอะไรเลยวันๆ
คงไม่มีคำใดจะอธิบายได้ดีไปกว่าคำว่า "โครตเหี้ย" ไม่รู้ว่าอะไรเป็นแรงขับให้ผมต้องกินเจ้าพวกนี้ทุกวัน ข้าวต้ม ,ข้าวโพดกับนมเปรี้ยว ,ผักต้ม ,มูสลี่กับกล้วยหอม ,ข้าวโอ๊ตบอล บางวันดีหน่อยออกไปกินไข่กะทะกับขนมปัง ไม่ก็กินส้มตำ (เพียวๆไม่มีข้าวเหนียวไก่ย่างนะ) อะไรประมาณนี้แหละแต่วันละไม่เกิน 1000 กิโลแคลอรี่ ไม่ใช่แค่นั้นผมตื่นตี 4 มาวิ่งออกกำลังกายถึง 6 โมงเช้าทุกวัน ตกเย็นหลังฝึกงานเสร็จไปเล่นบาสต่อ 17.00 - 19.00 ทุกวัน ต้องรีบกินข้าวและมานั่งดูกราฟหุ้น อ่านข่าว ฟังพี่ต้าน ผมทำแบบนั้นทุกวันได้ 3 เดือนจนวันหนึ่งยืนฝึกงานอยู่เลือดกำเดาไหล และรู้สึกเหมือนจะหน้ามืด ความจริงพักนั้นมันไหลบ่อยมากเลยหละ ผมเองก็รับรู้อยู่แหละว่าร่ายกายผมโทรมมาก นั้นเป็นเพราะผมหักดิบลดมันเยอะเกินไป คุณลองคิดดูนะคนหนัก 95 กินวันหนึ่งเท่าไหร่ ผมว่า 4500 กิโลแคลอรี่อะ แต่ผมรีดเหลือแค่ 1000 เดียว ร่างผมไม่ไหวหนะซิคุณ ผมจึงค่อยๆเพิ่มปริมาณเป็น 1500 2000 และ 2500 ในที่สุด ลดการออกกำลังกายในตอนเช้าเพราะอยากหลับให้มากขึ้นเหลือเพียงแต่เล่นบาสตอนเย็น ยกเว้นวันหยุดถ้าไม่ได้ไปทำงานก็จะออกกำลังในตอนเช้าด้วยประมาณ 8 โมงอะไรงี้สุดท้ายผ่านไป 7 เดือนจาก 95 ก็เหลือ 65 เป็นร่างที่แทบไม่เหลือไขมันอยู่เลย กล้ามเนื้อก็เช่นกัน -..- ก็อย่างว่าไม่มีรูปถ่ายตอนเหลือ 65 นะ เหลือแต่รูปถ่ายหลังจากนั้นที่เพิ่มน้ำหนักขึ้นมาประมาณ 72 เพราะ 65 มันโทรมเกินไป
หน้าผมมีแค่นี้แหละ ถ้าอยากได้หล่อกว่านี้ไปเว็บอื่นนะ 555 รูปพวกนี้เพื่อนผมแม่งถ่ายได้. . . ช่างมันเถอะ จะบอกว่าสิ่งที่ได้รับมามันดีจริงๆทุกท่าน ไม่ใช่เรื่องน้ำหนักลดแล้วร่างกายแข็งแรงขึ้นนะ แต่จะพูดถึงเรื่องสภาพจิตใจ คือ ณ ตอนนั้นที่กำลังอยู่ในช่วงมหาโหดกับร่างกายตัวเอง มันโครตท้อเลย คุณเชื่อมั๊ยผมร้องไห้แต่ต้องลุกขึ้นมาวิ่งตอนตี 4 เห็นมูสลี่เเห้งๆกับน้ำเปรี้ยว 1 แก้วแทบอยากจะอ้วก บางวันกินข้าวโพดกระป๋องให้พลังงานไม่ถึง 100 กิโลแคลอรี่ ผมพูดจริงๆนะร้องไห้จริงๆ เห็นเพื่อนๆกินอาหารกันอย่างอร่อยแล้วนอนเล่นคอม แต่ผมยังต้องออกกำลังกาย ในตอนกลางคืนเค้านั่งดูหนังฟังเพลงเล่นเกมส์ หรือโทรศัพท์คุยกับแฟน แต่ผมต้องอ่านข่าวและดูกราฟหุ้นจนดึกดื่น โครตทรมาน ทรมานจนไม่รู้จะหาคำใดมาเปรียบเทียบได้ และที่บ้าที่สุดคือผมไม่ได้ตั้งใจจะลดความอ้วน ผมตั้งใจจะพิสูจน์ว่ามันมีผลต่อจิตใจจริงรึเปล่า? และผลคือมันทำให้จิตใจหดหู่มาก เกิดการเปรียบเทียบมากมาย ท้อ ร้องไห้ ทรมาน เครียด สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเดินต่อคือ "ผมเชื่อพี่ต้าน" แค่นั้นจริงๆ นอกจากพี่ต้านแล้วผมยังติดตาม พี่เอกจาก Cway investment พี่เอกก็บอกอยู่เสมอๆ วินัยๆๆ ผมก็เชื่อพี่เอก ผมท่องอย่างเดียวตอนตื่นนอน วินัยๆๆๆๆ ท่องจนแม่งลุกขึ้นมาวิ่งทุกวันตลอด 7 เดือนที่ฝึกงานอะ ย้ำว่าทุกวันจริงๆ
พี่ต้านจาก Mudley Group
สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนคือผมจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นได้ครับ ผมหิวตลอดเวลาและผมโกรธ เห้ยผมรับรู้ว่าผมโกรธหวะและพอผมรับรู้ผมรีบหยุดมันก่อนที่จะไปกระทบต่อคนรอบข้างผม หลายๆครั้งพอมาสังเกตดูคนรอบข้างพบว่าพวกเค้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเค้ากำลังโกรธอยู่ และปัญหาคือพวกเค้าไม่รู้ถึงวิธีการรับมือกับความโกรธ หรือจะเป็นอารมณ์ขี้เกียจ ผมรับรู้ว่าขี้เกียจแต่สามารถเอาชนะมันได้ทุกครั้ง ผมรับรู้ว่าผมเครียดและผมรีบจัดการกับมันก่อนมันจะทำให้ผมปวดหัว ผมรู้ว่ากำลังสับสนในขณะใช้ความคิดและวิเคราะห์ แม้กระทั้งรับรู้ได้ถึงความโดดเดี่ยวในใจที่ไม่มีเพื่อนคนไหนคุยภาษาเดียวกันกับผมเลย ผมเริ่มสังเกตและรับรู้ถึงอารมณ์ได้ไวมากขึ้น เริ่มหาวิธีรับมือและจัดการมันได้อย่างทันท่วงทีและถูกทาง นอกจากนั้นผมยังรับรู้ถึงคนรอบข้างได้ไวขึ้นด้วย ผมเริ่มอ่านอารมณ์เพื่อนๆออกผ่านการแสดงสีหน้าและท่าทางเพียงเล็กน้อย ผมจึงได้เข้าใจคำว่าความแตกต่างด้านจิตใจ คนที่ก้าวขึ้นไปอีกขั้น แตกต่างออกไปตรงที่สามารถรับรู้อารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและสามารถจัดการมันได้อย่างถูกต้อง ฟังดูเหมือนง่ายนะครับแต่เชื่อผมเถอะคนที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้หากใครทำได้คุณเป็นประชากรส่วนน้อยเท่านั้น และจะเหนือกว่าคุณยังต้องทำมันอย่างต่อเนื่อง ผมยังคงวิ่งทุกวันครับแต่ไม่จำกัดปริมาณอาหารแล้วเพราะผมเพียงต้องการพิสูจน์คำว่า In the zone ก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงหรอกนะครับแต่ผมได้อะไรหลายๆอย่างจากการทดลองนี้ ผมได้ร่างกายที่แข็งแรง ได้วินัย และได้ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ ไม่ได้เสียหายอะไรหากท่านอยากลองทำดู ไม่จำเป็นต้องหักดิบลดอาหารลงแบบผมก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องลดนะครับเพียงแต่ค่อยๆลด ไม่ใช่ลดลงฮวบแบบผม ทำติดกันให้ได้ 1 ปี ผมเชื่อว่าท่านจะได้อะไรจากการทดลองนี้บ้างไม่มากก็น้อย
การตัดสินใจในชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องพบเจอ การตัดสินใจแต่ละอย่างย่อมมีผลที่จะเกิดตามมา ผมตัดสินใจที่จะเชื่อแนวคิดของผมและคนที่ผมนับถือ ผมเชื่อมันอย่างสุดหัวใจพร้อมก้าวเดินไปเพื่อพิสูจน์มัน แม้ว่าต้องแรกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ท่านที่อ่านถึงตรงนี้คงนึกหัวเราะ แต่เชื่อผมเถอะหน้าอย่างท่านทนได้ไม่เกิน 2 เดือนหรอก ผมท้าเลยกินแค่ 1000 กิโลแคลอรี่ออกกำลังกายให้หนักอย่างต่ำวันละ 2 ชม. ถ้าได้เกิน 3 เดือนค่อยมีหน้ามาหัวเราะผม ผมอยากจะดูว่ามันจะมีไอ้หน้าไหนไม่ร้องไห้บ้าง ผมท้าเลย โครตทรมาน โครตเหี้ย โครตเหนื่อย โครตท้อ แต่ผมเชื่อ สั้นๆแค่นี้แหละ ผมเชื่อมั่นและจะทำมันต่อไป แม้ว่าท้ายที่สุดอาจจะเป็นทางที่ผิดก็ตาม. . .อย่างว่าแหละผมมันพวกพวกสุดโต่ง แต่ผมตัดสินใจแล้ว เหมือนที่คิริซึมุทำ เค้าเสียใจขนาดไหนแต่ก็ยังต้องฆ่าคนที่เปรียบเสมือนแม่เพียงเพราะรักษาอุดมการณ์และความเชื่อของเค้า เมื่อตัดสินใจแล้วเค้ายอมแบกรับความเจ็บปวด หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจในบทความนี้ แต่เอาเถอะผมจะเขียนเล่าไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะพิสูจน์ได้ว่าแนวคิดของผมผิดหรือถูก ต่อให้สุดท้ายผมอาจจะไม่สามารถหลุดออกมาเหนือค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปได้ผมก็ไม่นึกเสียใจ กลับดีซะอีกเพราะอย่างน้อยระหว่างทางผมก็ได้ทำตามความฝัน ได้ทำตามสิ่งที่ผมเชือ ได้ทำตาม
"การตัดสินใจของผม"
"การตัดสินใจของผม"
. . . . . ชีวิตท่าน ท่านเลือกเอง . . . . .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น