Always with Me

เลือกตั้งอเมริกา 2559


     สหรัฐอเมริกากำลังจะมีการเลือกตั้งเพื่อหาประธานาธิบดีคนใหม่แทนนายบารัค โอบามา ที่กำลังจะสิ้นสุดวาระในสิ้นปีนี้ โดยการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 โดยมีผู้ลงสมัครช่วงชิงตำแหน่ง 2 คนด้วยกันคือ นายโดนัลด์ ทรัม และนางฮิลลารี คลินตัน

ผู้สมัครคนแรก นายโดนัลด์  ทรัม


     โดนัลด์  ทรัม จากพรรค Republican อายุ 70 ปี เป็นนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของอเมริกา เกิดในนครนิวยอร์ก เทศมลทลควีนส์

ผู้สมัครคนต่อมานางฮิลลารี  คลินตัน



     ฮิลลารี  คลินตัน จากพรรค Democratic อายุ 68 ปี เป็นนักการเมือง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เกิดในนครชิคาโก้ รัฐอิลินอยส์

นโยบายที่โดดเด่นของทั้ง 2 ผู้สมัคร

1. นโยบายด้านภาษี


2. นโยบายด้านแรงงานต่างด้าว


3. นโยบายด้านพลังงาน


4. นโยบายการค้าต่างประเทศ



มาสังเกตอีกทีมีหลายจุดที่พิมพ์ผิดต้องขออภัย แต่มันแก้ไขยากจริงๆ ดังนั้นผมจะไม่แก้ไขข้อความผิดในภาพนะครับ ^^

จะเห็นได้ว่าทั้งคู่ต่างมีนโยบายที่ต่างกันอย่างสุดขั้วเลยก็ว่าได้ โดยก่อนการเลือกตั้งในเดือนสุดท้ายเป็นธรรมเนียมที่จะต้องนำผู้สมัครมาทำการโต้วาที เพื่อแสดงให้เห็นหลายๆอย่าง เช่น การคิดและตอบโต้อย่างฉลาด กริยาท่าทางการเก็บอารมณ์ ความสุภาพ หรือจะเป็นการดึงคะแนนผ่านการกล่าวหาคู่พูด (Discredit) โดยในปีนี้จัดการโต้วาทีขึ้นทั้งหมด 3 ครั้งและมีผลสำรวจออกมาว่าคะแนนของฮิลลารี นำทรัมอยู่เล็กน้อย

ข้อมูลจาก http://www.nytimes.com/interactive/2016


     มีผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาวิเคราะห์ถึงการโต้วาทีในครั้งนี้มากมาย โดยจากที่ผมฟังส่วนใหญ่ (ครึ่งหนึ่ง) มักจะเสียไปกับการลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม (Discredit) โดยฝั่งฮิลลารีก็จะยกประเด็นเรื่องการไม่เปิดเผยการจ่ายภาษี และคลิปที่ทรัมเคยพูดถึงผู้หญิงในลักษณะที่ไม่เหมาะสม (ทางเพศ) เมื่อ 11 ปีที่แล้วมากดดัน ด้านทรัมป์เองก็ยกประเด็นเรื่อง E-mail ลับของทางฮิลลารีหลายหมื่นฉบับ และผลงานอันล้มเหลวของ Democratic ออกมาโต้แย้ง ในส่วนนี้ใหญ่ๆแล้วเหมือนเด็กๆด่ากันเล่นๆไม่ค่อยมีเนื้อเท่าไหร่ แต่ประเด็นเรื่องความล้มเหลวของ Democratic โดยเฉพาะประเด็นเรื่องตะวันออกกลาง หรือการเข้าบุกอิรักซึ่งเป็นประเด็นที่ผมว่าค่อนข้างดีที่ทรัมหยิบยกขึ้นมาโต้แย้ง อีกทั้งเรื่องการขาดดุลการค้ากับจีน หรือจะเป็น FTA และTPP ซึ่งทำให้ประชาชนอเมริกันตกงาน ทรัมเล่นประเด็นนี้ได้รุนแรงมาก


หลักเลยทรัมพยายามชูว่านโยบายตนเองดีกว่า และชี้ให้เห็นว่านโยบายของฮิลลารีและรัฐบาลโอบามาล้วนแต่
ล้มเหลว และทรัมจะมีจุดอ่อนก็คือลักษณะนิสัยส่วนตัวเช่น การพูดจาเพราะทรัมมาจากนักธุรกิจจึงไม่เคยชินกันความโอนอ่อนต่อประชาชนเท่าใดนัก จะสังเกตได้จากข่าวที่เห็นกันอยู่เรื่อยๆด้านความกระด้างกระเดื่องของทรัม


ด้านฮิลลารีได้เปรียบในเรื่องการเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน อาจจะทำให้มีความคล่องแคล่วกว่าในเรื่องนโยบายและการเข้าหาประชาชน นโยบายเน้นการสร้างสัมพันธ์ ลดความบาดหมางกับประเทศเพื่อนบ้านและคู่ค้า ตรงข้ามกับทรัมที่ค่อนข้างจะกระทำในแบบที่แข็งกร้าว โดยรวมก็แบบเดิมไม่ค่อยต่างออกไป

     ผมคิดว่าแม้ทรัมจะดูรุนแรงแต่เอาเข้าจริงมันก็เป็นนโยบายที่ดูเข้ากับโลกแห่งความจริงนะ เพราะประชาชนอเมริกัน รวมไปถึงแถบยุโรปก็เริ่มที่จะเอียนกับนโยบายโลกสวยโดยเฉพาะการรับผู้คนอพยพ เพราะรัฐต้องเสียภาษีแก่คนกลุ่มนี้มากแถมแรงงานต่างชาติยังเข้ามาแย่งงานคนในชาติอีกต่างหาก ดังนั้นแล้วจึงเริ่มจะมีแนวคิดต่อต้านการเคลื่อนที่ของแรงงาน. . . .

ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับไทย

หาก "โดนันด์ ทรัม" ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

1. มีผลกระทบกับจีนแน่นอนเพราะ ทรัมจะลดการนำเข้าสินค้าจากจีนโดยเพิ่มภาษี เพราะรายได้ส่วนใหญ่จากจีนคือการจ้างผลิตจากอเมริกา และไทยก็จะโดนผลกระทบทางอ้อม เช่น หากจีนมีรายได้ลดลงเม็ดเงินลดลง อาจเกิดการลดการจ้างงาน นักท่องเที่ยวจีนอาจจะน้อยลง การบริโภคของจีนก็จะน้อยลง ทำให้สินค้าไทยที่ส่งขายจีนยอดตกตาม

2. ไม่เอาแรงงานต่างชาติ บีบแรงงานผิดกฎหมายออกนอกประเทศถึง 11 ล้านคน ในส่วนนี้จะเป็นปัญหาใหญ่มากเพราะแรงงานพวกนี้เป็นแรงงานที่ใช้แรง และค่อนข้างจะอยู่ในระดับล่าง ดังนั้นหากพวกนี้ถูกบังคับออก ผมก็สงสัยว่าคนอเมริกาจะยอมไปทำงานพวกนั้นหรือ? และถ้าทำค่าแรงก็ต้องสูงกว่าการจ้างแรงงานผิดกฎหมายแน่นอน ดังนั้นต้นทุนการผลิตก็จะเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าก็ต้องสูงตามขึ้นไปแล้วถ้าของแพงการจับจ่ายก็จะน้อยลงเว้นเสียแต่ว่าเม็ดเงินจะสะพัด ดังนั้นทรัมจึงพยายามลดภาษีนิติบุคคล และภาษีที่ดินเพื่อให้มันช่วยเหลือกันในเรื่องนี้

3. ไม่เอา FTA และนโยบายออกแนวปิดประเทศ จะค้าขายยากเพราะบริษัทในอเมริกาก็จะถูกบีบให้ลงทุนภายในประเทศ และบริษัทจากภายนอกก็เข้าไปได้ยากเช่นกัน ดังนั้นไทยก็อาจจะส่งของเข้าอเมริกาได้น้อยลง และแน่นอนผลที่ตามมาคือการลดจำนวนคนงาน ยิ่งหลังๆบริษัทในไทยทยอยปิดตัวลงอย่างต่อเนื่องกันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว คงแย่น่าดู

4. อาจจะเข้าอเมริกายาก เช่น การศึกษาต่อ หรือการท่องเที่ยว อาจจะขอวีซ่าได้ยากขึ้น และประชาชนก็ไม่ค่อยชอบคนต่างชาติสักเท่าใดนัก

หาก "ฮิลลารี คลินตัน" ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

1. ไม่เปลี่ยนแปลงมากเพราะส่วนใหญ่ก็จะเป็นการสานต่อนโยบายของโอบามา

2. ประเด็นเรื่อง FTA ก็จะคล้ายๆกับทรัมแต่ดูจะอ่อนโยนต่อประเทศคู่ค้ามากกว่า


     หากพูดถึงด้านเศรษฐกิจและตลาดหุ้นแล้วผมก็ยังคงมุมมองเดิมคือยังไงธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยแน่นอนอยู่แล้วและส่งสัญญาณออกมาเรื่อยๆเป็นระยะ นั้นจะทำให้เงินทุนไหลออกจากบ้านเราแน่นอน และไม่ว่าทรัมหรือฮิลลารี ได้เป็นประธานาธิบดีเงินทุนก็ไหลออกอยู่ดีเพราะเค้ามีนโยบายที่ค่อนข้างจะบีบและดึงนักลงทุนกลับเข้าประเทศ ยิ่งถ้าทรัมเป็นผลกระทบบ้านเรายิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ผมว่าเม็ดเงินหายหนักเลยหละเพราะเรามีรายได้หลักจากการส่งออก แล้วดูตอนนี้ซิจีนมีหนี้มหาศาล เมกาก็หนี้สูง ญี่ปุ่นเยอะที่สุด ตะวันออกกลางก็ย่ำแย่เพราะราคาน้ำมันล่วงหนักกำลังซื้อเค้าก็หาย อินเดียเลิกหวังเพราะประชากรส่วนใหญ่ยากจนและไร้กำลังซื้อ แม้แต่กำลังซื้อในประเทศไทยเรายังหดเนื่องด้วยหนี้สินครัวเรือนที่สูงถึงกว่า 81% ค่าเงินบาทช่วงนี้ก็โอเค ค่อนไปทางแข็งแต่ถ้าหากเม็ดเงินไหลออกก็คงอ่อนยวบเป็นผลดีต่อการส่งออก แต่ดัน!!!ส่งออกได้น้อย โอ้วปัญหามาหลายด้านจริงๆนะครับ ไว้ผมจะมาเจาะลึกเรื่องเงินทุนและความผันผวนของตลาดหุ้นบ้านเราอีกที มันผันผวนจนน่าตกใจเลยหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านเห็นรายย่อยไล่ซื้อกันอย่างบ้าคลั่งนะ ผมว่ามันมีนัยยะสำคัญมาก จากที่อ่านมาเค้าบอกว่าตลอดการเลือกตั้งที่ผ่านมา 7 สมัยตั้งแต่ปี 1998 - 2012 หลังเลือกตั้ง 3 เดือนตลาดหุ้นบ้านเราเป็นบวกหมด ยกเว้นปี 2008 เพราะเกิดวิกฤติการเงิน ก็ไม่ใช่จะบอกให้เกร็งกำไรหรอกนะเอามาบอกเป็นความรู้เฉยๆ เอาไว้จะมาเจาะลึกเรื่องนี้อีกที เอาคร่าวๆไปก่อนวันนี้

อ้างอิง
https://www.finnomena.com/
https://www.youtube.com/watch?v=vu6SDsn99_8

Kingveggie

I'm a Dreamer who try something new. Such as write this Blog. ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น