วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เงินหยวนของจีน มีผลอย่างเป็นทางการในภาคปฏิบัติแล้วในฐานะ "เงินสกุลที่ 5" ซึ่งได้เข้าอยู่ในตะกร้าเงินสำรองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เรียกว่า Special Drawing Right (SDR) หรือสิทธิเบิกถอนพิเศษ หลังจากคณะกรรมการไอเอ็มเอฟอนุมัติในหลักการ เมื่อปลายปีที่แล้วให้บรรจุเงินหยวนเข้ามาอยู่ในตะกร้า SDR ร่วมกับดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์สเตอร์ลิง และเยน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของไอเอ็มเอฟในรอบหลายสิบปี
แม้ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่จะมองว่าการที่หยวนได้เข้าร่วมตะกร้า SDR ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากมายเพียงพอที่จะทำให้ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนไปถือเงินหยวนเป็นทุนสำรอง จะมีความหมายก็แค่ในเชิงสัญลักษณ์ว่า "จีนได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ" เท่านั้น แต่ก็มีนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าเมื่อ "เงินหยวน" เข้าอยู่ใน SDR แล้วอาจทำให้ประเทศต่าง ๆ เปลี่ยนไปถือเงินหยวนเป็นทุนสำรองประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พูดอีกอย่างก็คือ "ลดการถือดอลลาร์ลง"
ปัจจุบันน้ำหนักของแต่ละสกุลเงินในตะกร้า SDR เรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร หยวน เยน และปอนด์สเตอร์ลิง ตามการสำรวจของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ระบุว่า นับถึงเดือนเมษายนปีนี้ การทำธุรกรรมเงินหยวนในตลาดค้าเงินตราโลกมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวสู่ระดับ 4% ซึ่งเป็นผลจากความพยายามของจีนที่ต้องการให้ทั่วโลกใช้เงินหยวนมาก
ในแง่บวก การที่หยวนได้เข้าร่วมในตะกร้า SDR คือการบรรลุความปรารถนาอันทะเยอทะยานของจีนที่อยากผงาดขึ้นมาทาบรัศมีมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเดิมโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรป ขณะเดียวกันต่อไปสหรัฐก็ไม่สามารถก่นด่าตราหน้าจีนได้อีกต่อไปว่ากดค่าเงินหยวนให้อ่อนเกินจริงเพื่อประโยชน์ด้านการส่งออก นอกจากนี้จะเพิ่มอิทธิพลให้กับจีนในการกำหนดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน สินแร่
ในแง่ลบ การที่จีนต้องทำให้เงินหยวนเป็นสากล จะทำให้ควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าออกได้น้อยลง จากเดิมที่เคยสามารถสร้างกำแพงป้องกันระบบการเงินของตนไม่ให้อ่อนไหวต่อความผันผวนของระบบการเงินโลกผ่านมาตรการควบคุมต่าง ๆ แต่หลังจากนี้เมื่อต้องปล่อยให้ระบบการเงินเชื่อมต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น ซึ่งจะทำให้จีนมีความเปราะบางต่อการสะวิงของอัตราแลกเปลี่ยนและการเคลื่อนย้ายเงินมากขึ้น อันอาจทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตช้าลงไปอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น