ประเทศเคนย่าออกกฎหมายห้ามใช้ถุงพลาสติก หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับ 38,000เหรียญ(ราว 1.25 ล้านบาท) และมีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี
เนื่องจากปัญหาขยะที่เกิดจากถุงพลาสติกตามเมืองใหญ่ๆนั้นก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยในแต่ระปีมีถุงพลาสติกกว่า 100 ล้านใบที่มาจากซุปเปอร์มาเก็ต แต่ไม่ใช่แค่เคนย่าเท่านั้นที่ออกกฎหมายนี้ เพราะหลายประเทศแถบแอฟริกาก็ใช้กฎหมายแบบนี้เช่นกันไม่ว่าจะเป็น Cameroon, Guinea-Bissau, Mali, Tanzania, Uganda, Ethiopia, Mauritania และ Malawi
ทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจต่างออกมาบอกว่าการยกเลิกดังกล่าวจะก่อให้เกิดการตกงาน (กว่า 80,000 ตำแหน่ง) แต่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลับให้ความเห็นต่างโดยบอกว่า จะเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากการผลิตถุงพลาสติกจากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
แต่กระนั้นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนับเป็นความสำคัญที่ต้องเร่งรีบแก้ไขเพราะปัญหาถุงพลาสติกนี้ฆ่าชีวิตสัตว์ในธรรมชาติไปมากมายรวมถึงสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านด้วย เพราะพวกมันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารและกินถุงพลาสติก
วิเคราะห์ข่าว
ข่าวนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องของการเลือก (Trade
off) ผมจะเน้นมองในเชิงเศรษฐกิจและความเป็นจริง การใช้พลาสติกนั้นผลิตได้ง่ายและต้นทุนต่ำกว่าวัสดุจำพวกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากๆ
แน่นอนว่าการยกเลิกกะทันหันแบบนี้ย่อมมีผลกับพนักงาน เพราะอาจเกิดการตกงานเป็นจำนวนมาก
หากอ่านใน BBC บอกไว้ว่าอาจมีตำแหน่งว่างงานเพิ่มขึ้นสูงถึง
80,000 ตำแหน่ง (http://www.bbc.com/thai/international-41074111?ocid=socialflow_facebook)
นั้นหมายความว่าผู้คนจะตกงานมากมาย
อันจะนำมาสู่ปัญหาต่างๆตามมาเช่น
- การกู้ยืมที่เพิ่มมากขึ้น
เพราะไม่มีเงินเนื่องจากตกงาน
- อาชญากรรม
หากบอกว่าจะเกิดการจ้างงานเพราะจะหันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทน
ผมถามต่อว่าจะใช้อะไร? และเจ้าสิ่งนั้นมีปริมาณมากพอที่จะผลิตถุงพลาสติกได้
100 ล้านใบต่อปีหรือไม่? เพราะปริมาณการใช้ถุงนั้นมีมาก แล้วต้นทุนเท่าไหร่?
(แน่นอนว่าแพงกว่าพลาสติกอยู่แล้ว) สมมุติว่าทำได้จริง
แล้วราคาสินค้าที่ต้องบวกเพิ่มหละ? เนื่องจากมีต้นทุนด้านถุงพลาสติก
คำตอบก็คงจะมาคลี่คลายตรงการผลักภาระให้ผู้บริโภคนั้นเอง
เฉกเช่นที่ยุโรปทำๆกันนั้นก็คือหากอยากได้ถุงพลาสติกคุณก็ต้องซื้อ
ถามต่อว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้วปริมาณการใช้ถุงพลาสติกลดลง
งั้นก็หมายความว่าบริษัทถุงพลาสติกก็ต้องขายได้น้อยลงใช่หรือไม่? แล้วหากขายได้น้อยลงจำนวนพนักงานที่ต้องจ้างเทียบกับแต่ก่อนที่ผลิตจากพลาสติกมันย่อมต้องมีจำนวนที่น้อยกว่า
ดังนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนก็จะมีตัวเลขคนตกงานอยู่ดี
ทั้งนี้คงต้องมองที่เทคโนโลยีของประเทศร่วมด้วยว่ามีศักยภาพพร้อมหรือไม่
ผู้คนในประเทศพร้อมใจกันตระหนักถึงปัญหานี้ไหม หรือยังกังวลเรื่องปากท้อง
มันคิดต่อไปได้อีกหลายเรื่อง ผมจึงเกริ่นนำว่ามันเป็นเรื่องของการเลือก (Trade
off) แต่ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลคงคิดไว้ดีแล้วถึงปัญหาต่างๆ
และคงมีมาตรการรองรับกับจำนวนคนตกงานได้อย่างดีแล้วครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น