Always with Me

Amazon ลดราคาสินค้าอาหาร 43%


บริษัทอเมซอนเข้าซื้อกิจการของ Whole Foods Market และทำการลดราคาสินค้าประเภทอาหารโดยเฉพาะสินค้าปลอดสารพิษ(Organic)ในซูเปอร์มาร์เก็ตราว 43% ส่งผลให้สามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าได้ถึง 25% และบางสาขาอย่างเช่นที่ Chicago มีจำนวนลูกค้าเพิ่มถึง 35% เพราะราคาสินค้าถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตคู่แข่งอื่น

ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนราคาแต่ทางอเมซอนมองไปถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยกล่าวว่า

 “เมื่อพวกเค้าเห็นว่าราคาถูกมากพอแล้วพฤติกรรมการซื้อของพวกเค้าจะเปลี่ยนไป” 

หลังจากเข้าซื้อกิจการได้เพียง 1 สัปดาห์อเมซอนกล่าวว่าเค้าขายสินค้าของ Whole foods ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ถึง 5 แสนเหรียญ แต่ใช้ว่าจะสามารถขายทุกอย่างออนไลน์ได้เพราะสินค้าจำพวกของสดนั้นเป็นปัญหาสำคัญและมีต้นทุนที่สูงหากจะทำการขายออนไลน์ ถึงยังไงก็ยังจัดว่าเป็นผู้เล่นรายเล็กในตลาดนี้เพราะ Whole foods ครองส่วนแบ่งทางการตลาดราว 2% เนื่องจากยังมีคู่แข่งรายใหญ่อย่างเช่น Wal-Mart Korger และ Albertsons ซึ่งมีมูลค่าตลาดร่วม 8 แสนล้านเหรียญ ในอนาคตอเมซอนมีความพยายามที่จะนำระบบต่างๆเข้ามาปรับใช้เพื่อลดต้นทุนลงให้มากกว่านี้เพราะท้ายที่สุด

ผู้บริโภคก็เพียงแค่ต้องการซื้อของถูกๆเท่านั้นเอง

ที่มา https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-09-11/

วิเคราะห์ข่าว


จากข่าวนับเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ เพราะจะสามารถหาซื้อของราคาถูกลงเรื่อยๆได้ในอนาคต เนื่องจากปัจจุบันได้มีความพยายามนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้มาปรับใช้เพื่อลดต้นทุนของผู้ประกอบการ และผมมั่นใจว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดนี้คงนั่งกันไม่ติดแน่ๆ เพราะ Jeff Bezos ที่รู้จักกันดีว่าเป็นเจ้าพ่อ E-commerce รายใหญ่และมีรายได้รวมเป็นอันดับ 2 ของโลกที่ 839,000 ล้านเหรียญ นับว่าสายป่านยาวมากถ้าต้องมายันกับเจ้าถิ่นอย่าง Wal-Mart Korger และ Albertsons แต่อเมซอนมีดีกว่านั้นเพราะนำการขายทางอินเทอร์เน็ตอันเป็นความถนัดของตนมาช่วยลดต้นทุนและลดราคาสินค้าชนิดที่ว่าไม่ไว้หน้ารายใหญ่กันเลยทีเดียว



ดังนั้นหากผู้ค้ารายใหญ่เริ่มหันมาสู้กันด้วยสงครามการลดราคา เราๆผู้บริโภคย่อมได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ และมีโอกาสได้เห็นเทคโนโลยีหรือกระบวนการผลิต หรือการจัดจำหน่ายในรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น หากว่ากันเรื่องนี้ผมคิดว่าอเมซอนคงก้าวหน้ากว่ายักษ์ใหญ่ต่างๆไปมากแล้วเพราะผมเคยดูคลิปซูเปอร์มาร์เก็ตของอเมซอน โดยเค้าใช้ชื่อว่า “Amazon Go” เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่มีพนักงานขายเลยแม้แต่คนเดียว 


ดังนั้นผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงมากๆที่ราคาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตจะลดลงอีก เพราะเค้าตัดต้นทุนออกมหาศาลด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ แม้เค้าจะไม่บอกว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในมุมมองของเค้าจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน แต่ผมว่าคงน่าสนใจไม่น้อยเพราะในช่วงชีวิตนี้ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมมนุษย์อย่างมากมายเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาตัวอย่างเช่น Smart Phone และ Facebook กรณีตัวอย่าง 2 อันนี้แสดงให้เห็นได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคมมากขนาดไหน และหาก อเมซอนมองการไกลถึงขนาดที่ว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่าย การบริโภคของคนทั่วๆไป การก้าวสู่สังคมไร้เงินสด ด้วยระบบอิเล็คทรอนิคต่างๆก็คงเป็นโมเดลที่เค้าวางแผนมาตั้งแต่ต้นแล้ว 

เมื่อมองแบบนั้นแล้วอีกนัยหนึ่งก็นับเป็นความน่ากลัวของระบบนี้เช่นกัน เพราะมีผลกระทบต่อด้านพฤติกรรมการจับจ่ายต่างๆของประชาชน รวมไปถึงปัญหาการลดต้นทุนโดยการลดจำนวนพนักงาน นั้นก็เป็นผลกระทบลูกโซ่ต่อมาซึ่งถ้าพูดกันต่อคงต้องดึงแนวคิดการเก็บภาษี AI ของ Bill Gate มาร่วมอธิบาย เพราะการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้มิใช่เพียงส่งผลกระทบต่อพนักงาน (คนบางกลุ่ม) เท่านั้น แต่รวมไปถึงการที่รัฐเสียรายได้จากการเก็บภาษีที่ลดลง (เพราะคนตกงาน) 


Bill Gate แนะนำว่าเราต้องเก็บภาษีที่จากหุ่นยนต์และ AI เพราะพวกมันเข้ามาทำงานแทนมนุษย์แถมต้องเก็บในอัตราที่มากกว่าด้วย (มันทำงานได้ 24 ชั่วโมง) และนำภาษีพวกนั้นมาพัฒนาทักษะมนุษย์ที่ถูกแย่งงาน เพื่อคงความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน (ความเหลื่อมล้ำ)

สุดท้ายนี้ผมเริ่มได้กลิ่นแปลกๆเกี่ยวกับคำว่าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และดันบังเอิญเข้ากับแนวคิดเศรษฐกิจไร้เงินสดพอดิบพอดี ผมหวังว่าการพยายามเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคจะเป็นไปในทางที่ดี และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

อ้างอิง


Kingveggie

I'm a Dreamer who try something new. Such as write this Blog. ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น