Always with Me

สิงคโปร์ใช้เงินสดมากกว่าการทำธุรกรรมออนไลน์


สิงคโปร์ประเทศแห่งเทคโนโลยี ที่ซึ่งประชากรทุกคนใช้ Smart Phone แต่ 9 ใน 10 คนเลือกที่จะจับจ่ายใช้สอยกันด้วยเงินสดมากกว่าที่จะใช้การชำระเงินด้วยระบบดิจิตอล
รัฐบาลพยายามที่จะผลักดันให้ SME ทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กหันมาติดตั้งการชำระเงินด้ายระบบดิจิตอล (Digital Payments) เข้าสู้ “สังคมไร้เงินสด” แต่การเก็บค่าธรรมเนียมที่โดยบริษัทบัตรเครดิต เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเปิดรับการชำระเงินด้วยระบบดิจิตอล เพราะผู้ค้าที่รับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด จะต้องเสียค่าธรรมเนียมธุรกรรมราว 3% ใกล้เคียงกับค่าธรรมเนียมการรับชำระเงินจากระบบออนไลน์อย่าง Apple Pay, Android Pay และSamsung Pay 
จากการสัมภาษณ์  Theresa Loh อายุ 27 ปีกล่าวว่า เธอเลือกที่จะใช้เงินสดจับจ่ายในการซื้อของเช่น การซื้ออาหารต่างๆ มากกว่าที่จะชำระด้วยระบบดิจิตอลเนื่องจากสะดวกกว่าการต้องควักการ์ดออกมารูด




รัฐบาลมองว่าการที่จะทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศไร้เงินสด หรือเพิ่มยอดการใช้บริการทำธุรกรรมออนไลน์ให้มากขึ้นนั้น จะต้องลดต้นทุนของผู้ประกอบการ จึงวางแผนจะทำ QR code ที่สแกนได้ด้วยโทรศัพท์ และให้บริการตามจุดต่างๆเช่น จุดจำหน่ายอาหาร
ที่มา https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-09-04/


วิเคราะห์ข่าว

     ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่ทันสมัยด้านเทคโนโลยีอย่างสิงคโปร์ ผู้คนจะนิยมจับจ่ายกันด้วยเงินสดมากกว่าที่จะชำระเงินด้วยระบบออนไลน์ ผมมองว่ายังไงๆการใช้เงินสดก็ยังจำเป็นอยู่ดี เพราะหากเปลี่ยนไปสู่สังคมไร้เงินสด กล่าวคือทุกคนทำธุรกรรมการเงินต่างๆเพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านหน้าจอโทรศัพท์ของแต่ละคนเพียงเท่านั้น มันอาจจะมีปัญหาตามมาได้อีกมากเช่น ในกรณีที่ไฟฟ้าดับ ,เครื่องรูดบัตรหรือระบบเสียหละ? จะทำยังไง และอีกข้อคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินสดนั้นสะดวกกว่า

ผมลองนั่งคุยกับแม่กลับได้มุมมองที่แปลกๆมานั่นคือ แม่ผมบอกว่าถ้าเรามีเงินในกระเป๋า สมมุติว่าเราจะซื้อของไม่เกิน 2000 บาท เมื่อเราจับจ่ายไปเราก็สามารถมองเห็นได้ว่าเงินในกระเป๋าเราลดลงเรื่อยๆและเริ่มเพลาการจ่าย แต่หากหยิบมือถือขึ้นมาซื้อๆๆ มันอาจจ่ายเพลินเพราะเราไม่เห็นเงินที่ลดลงไปในกระเป๋าเงินนอกเสียจากจะคำนวณในใจไปเรื่อยๆ ซึ่งผมมองว่ามีส่วนที่เป็นจริงและคิดต่อดังจะเห็นได้ง่ายที่สุดคือ บัตรเครดิต ท่านจะรู้ได้เลยว่าคนไทยเป็นหนี้เยอะมาก และหนี้บัตรเครดิตจัดเป็นหนี้ส่วนใหญ่ของคนในประเทศ ยิ่งโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เป็นหนี้กันตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะมันจ่ายง่ายไงครับ รูดๆๆๆ (ไม่ต้องมองไหนไกลเลย แค่พี่สาวผม ผมก็เห็นการรูดบัตรของเธอแล้วสยอง - -!) ผมมองว่าระบบออนไลน์พวกนี้จะมาเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการจับจ่ายของคนในสังคม และเป็นไปในทางที่ไม่ดี (เทียบกับกรณีบัตรเครดิต) หากบอกต่อว่าก็บัตรพวกนี้มัดรูดจนถึงวงเงิน ถ้าเงินหมดก็คือจบไม่เหมือนบัตรเครดิตที่ยืมเงินในอนาคตมาใช้ก่อนซะหน่อย!! 

ใช่ครับจบจริงๆ จบชีวิตนะครับ” 

เพราะถ้าเงินหมด และจะเอาอะไรกินต่อหละ? แล้วเงินออมหละมีไหม? เงินใช้หนี้บัตรเครดิตหละมีไหม? ไม่รู้ทำไมผมมองเห็นวิกฤตในโอกาส 555 ตัวเลขหนี้ครัวเรือนเราสูงถึง 81% หนำซ้ำถ้าเงินเก็บก็ไม่มีอีกคงแย่แน่ๆ





     ผมมองว่าไอ้ธุรกรรมออนไลน์พวกนี้มันคือตัวดึงเงิน (Productivity) ดีๆนั้นเอง หลายคนก็ยังมองไม่ออกว่าทั้ง Facebook และ Youtube ต่างดึง Productivity ของเราไปมหาศาล เพราะมันจะฟีด (Feed) แต่สิ่งที่เราสนใจมาให้เนื่องจากมันมี Algorithm ที่เก็บข้อมูลพวกเรา ( Big Data) ถามจริงๆว่าเคยนับเวลาท่องอินเทอร์เน็ตกันบ้างรึเปล่า? ผมก็เคยเป็นคนหนึ่งที่บอกตัวเองว่าไม่ติด แต่พอลองนับเวลาใช้จริงๆพบว่าเผลอแปบๆเราก็หยิบมือถือขึ้นมากดๆๆ หากรวมเวลาย่อยๆพวกนั้นได้มากกว่า 6 ชม.ต่อวัน คุณคิดดูว่า 6 ชม. เราเอาไปพัฒนาตัวเองได้เยอะแต่เราๆยังไม่รู้ตัวเลยว่าโดนดึง Productivity ออกไปมหาศาลแค่ไหนต่อวัน แทนที่จะเอาเวลาไปทำสิ่งมีสาระอย่างอื่น

ที่เกรินมาก็เพื่อที่จะบอกว่ามุมมองของผมต่อระบบชำระเงินออนไลน์นั้นคล้ายๆ Facebook และ Youtube นั้นก็คือหลอกล่อให้ลุ่มหลงใช้จ่ายเงินกันเพลิน และผมมั่นใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้นเพราะมันคล้ายกับกรณีของบัตรเครดิตมากๆ (ในด้านพฤติกรรม) และนี่อาจจะส่งผลกระทบกับทุกคนในระบบเศรษฐกิจครับ

อ้างอิง


Kingveggie

I'm a Dreamer who try something new. Such as write this Blog. ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น