Always with Me

ปัญหาเศรษฐกิจอินเดีย


     ประธานาธิบดีอินเดียนาย Modi พบกับปัญหาจากดำเนินนโยบายของตัวเอง โดยปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจของอินเดียมีอัตราการเติบโตที่ลดลง ,เกิดปัญหาการว่างงาน และการประท้วงจากกลุ่มเกษตรกร สภาพเศรษฐกิจของอินเดียวเติบโตลดลง 6% และเกิดความไม่พอใจจากนโยบายการเก็บภาษีของสินค้าและบริการ ส่งผลให้ค่าเงินรูปีอ่อนลง และนักเศรษฐศาสตร์ออกมาให้ความเห็นว่านโยบาย Cash ban ของนายModi นำมาซึ่งมาหายนะทางเศรษฐกิจ โดยวิเคราะห์ว่าอินเดียกำลังพบกับสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมาก (Major depression)

ที่มา https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-10-11/modi


วิเคราะห์ข่าว



จากข่าวเป็นที่น่าตกใจเมื่อเห็นกับตัวเลขการจ้างงานที่ลดลงอย่างมหาศาลของคนอินเดียหลังจากการประกาศนโยบาย Cash ban


เมื่อเทียบกับช่วงแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2009 แล้ว พบว่าอัตราการจ้างงานลดลงมากกว่า จึงเกิดคำถามว่านโยบาย Cash ban นี้คืออะไร? และทำไมถึงส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจได้มากขนาดนี้?

     Cash Ban หรือ Demonetisation หรือ การยกเลิกธนบัตร เป็นนโยบายของนายโมดีที่มีขึ้นเพราะต้องการที่จะกวาดล้างเงินผิดกฎหมาย ทั้งเงินปลอม เงินใต้ดิน เงินที่ได้มาจากการหนีภาษี ฯลฯ เนื่องจากสังคมอินเดียใช้เงินสดเป็นหลัก แม้กระทั่งวิธีออมเงินก็ยังเป็นการเก็บเงินสดไว้ที่บ้าน จึงไม่แปลกที่จะมีช่องโหว่ให้การกระทำที่ผิดกฎหมายได้ง่าย เช่น หนีภาษี ฟอกเงิน ตลอดจนเอาไปใช้สนับสนุนการก่อการร้าย


การประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตรรุ่นเก่าแบบชั่วข้ามคืนของนายโมดีนั้นส่งผลกรทบอันมหาศาลเกินกว่าจะคาดได้ตามมา เพราะประชาชนอินเดียจำนวนมากต้องตกอยู่ในสภาวะอดอยากเนื่องจากไม่สามารถใช้เงินรุ่นเก่าชำระสินค้าหรือบริการได้ และต้องเสียเวลาต่อแถวเพื่อรอแรกธนบัตรรุ่นใหม่ที่ธนาคารซึ่งก็มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ และ อินเดียมีเกษตรกรประมาณ 260 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ไม่มีบัญชีธนาคารและต้องพึ่งพาผู้ปล่อยเงินกู้ท้องถิ่น กลับกลายเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกธนบัตรอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่ด้านนายทุนหรือผู้ที่มีเงินมากกลับหาช่องทางแปลงสภาพเงินด้วยวิธีอื่นอย่างง่ายดายและได้รับผลกระทบน้อยกว่าประชาชนทั่วไป



ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจของเศรษฐกิจอินเดียในช่วงที่ผ่านมา อยู่ที่ธุรกิจนอกระบบที่ประกอบส่วนเป็นภาคเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการ (informal economy) มีบทบาทต่อการเติบโตและมีสัดส่วนสำคัญต่อตัวเลข GDP ของอินเดียไม่น้อยเลย และดำเนินไปท่ามกลางธุรกรรมและการซื้อขายสินค้าด้วยเงินสด โดยมากกว่าร้อยละ 45 ของเงินสดเหล่านี้อยู่ในรูปของธนบัตรมูลค่า 500 รูปี และธนบัตรที่ถูกยกเลิกนี้หมุนเวียนอยู่ในตลาดมากถึงร้อยละ 86 นำมาสู่ภาวะเงินขาดมือของธุรกิจรากหญ้าจึงติดตามมาด้วยความชะงักงันในการบริโภคอย่างฉับพลันไปโดยปริยาย ความจริงแล้วผมมองว่ากลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มที่น่าสงสารมากที่สุดเพราะไม่สามารถขายผลผลิตได้เนื่องจากลูกค้าไม่มีเงินสดมาจ่ายชำระค่าพืชผลทางการเกษตรและถึงแม้รัฐบาลจะออกมาตรการเฉพาะหน้ามารองรับแต่ก็ไม่ได้บรรเทาปัญหาได้เลย เราจึงเห็นเกษตรกรจำนวนมากเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงเพราะมีปัญหาหนี้สินแต่ไม่มีเงินสดไปจ่ายได้ หรืออื่นๆ

     ความจริงผมพึ่งอ่านข่าวเกี่ยวกับเกษตรกรที่ปลูกฝ้ายของอินเดียที่ฆ่าตัวตายกันเยอะมาก แต่ข่าวให้น้ำหนักไปด้านเหตุผลการโดนบังคับซื้อเม็ดพันธุ์ แต่ผมคิดว่าปัญหาเกี่ยวกับหนี้สินและสภาพคล่องของเกษตรกรก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย 


ดังที่กล่าวมาท่านจะเห็นได้ว่าผลกระทบของนโยบายนี้มีตามมาอย่างมหาศาลและเกิดผลกระทบส่วนใหญ่กับประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่เป็นฐานรากของประเทศชาติ การที่เงินสดขาดมือนำมาสู่การใช้จ่ายที่ลดลง และส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวจนธนาคารโลกออกมาปรับลด GDP ของอินเดียลงจาก 7.6 เหลือร้อยละ 7 อีกทั้งมีอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับที่ผ่านมาโดยในปี 2009 – 2010 มีอัตราว่างงานที่ที่ 9.3
ปี 2011 – 2012 ที่ 3.8% ,
2012 – 2013 ที่ 4.7% 
และ ปี2013 – 2014 ที่ 4.9%

     เนื่องจากข้อมูลที่หามาตัวเลขไม่ค่อยตรงกัน แต่จะเห็นชัดเจนว่าปัจจุบันอัตราการว่างงานของคนอินเดียสูงมากเทียบเท่ากับปี 2009 ที่เกิดวิกฤติการเงินโลกได้เลย โดย The Time of India มีการประมาณการตัวเลขผู้ว่างงานที่ราว 17.7 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านคนในปี 2018 แต่ทาง Bloomberg มองว่าตัวเลขการจ้างงานจะกลับมาดีขึ้นในสิ้นปีนี้ ความจริงแล้วผลอ่านเว็บหนึ่งเค้ามีการแยกประเภทของผู้ว่างงานไว้อย่างละเอียดมาก แต่ลืมบันทึกและกลับไปหาข้อมูลไม่เจอ แต่จะขอสรุปจากที่จำได้ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงจะตกงานมากกว่าผู้ชาย และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตร
แม้ว่านายโมดีจะพยายามที่จะกระตุ้นการจ้างงานให้ฟื้นกลับ โดยหวังว่าจะเพิ่มการจ้างงานกว่า 10 ล้านตำแหน่งให้ไวที่สุด


ไม่ใช้เพียงแค่นั้นแต่นโยบายการเพิ่มภาษีของนายโมดียังเป็นการทำลายสายการผลิต เพราะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดเจนจากการปรับลดค่าแรงในภาคอุตสาหกรรม และการปลดพนักงาน


     แม้นโยบายของนายโมดีจะนำพามาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจของอินเดีย แต่อีกด้านก็เป็นการก้าวไปสู่โฉมหน้าใหม่ของอินเดียจากเดิมไปสู่สังคมปลอดเงินสด หรือ Cashless Society เพราะคนอินเดียที่ไม่รู้จักการใช้บัตรเครดิต ไม่มีบัญชีธนาคาร ก็ถูกบังคับกลายๆ ให้เริ่มมีบัตรมีบัญชีเพื่อเอาตัวรอดให้ผ่านวิกฤต ที่เห็นชัดเจน คือการเข้ามาของธุรกิจออนไลน์อย่าง Paytm ซึ่งเป็นระบบประเภทเดียวกับ PayPal ทำให้คนอินเดียจำนวนมากเริ่มหันมาทำธุรกรรมต่างๆผ่านทางนี้มากขึ้น โดยมีผู้สมัครใช้งาน Paytm เพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านบัญชี การใช้งานสูงขึ้นถึง 5 เท่า ขณะที่มูลค่าการทำธุรกรรมผ่าน Paytm เพิ่มมากขึ้นถึง 200 เปอร์เซ็นต์

     ท้ายที่สุดนี้ผมไม่รู้ว่าประโยชน์ที่ได้กับผลกระทบที่เกิดขึ้น เมื่อนำมาชั่งน้ำหนักแล้วอย่างไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ได้จากการวิเคราะห์ข่าวนี้คือทำให้ทราบว่าการยกเลิกเงินทั้งระบบแบบชั่วข้ามคืนนั้นสามารถส่งผลกระทบตามมาอย่างมหาศาลชนิดที่ว่าเราๆคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว และได้ทราบว่านโยบายแบบนี้มีผลกระทบต่ออุปสงค์ – อุปทานตลาดอย่างไร ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างไร และนั้นเป็นสิ่งที่น่าจดจำไว้เป็นบทเรียน


อ้างอิง

https://readthecloud.co/masala-1/
http://www.manager.co.th/Weekend/ViewNews
https://truststoreonline.com/2017/10
http://indianexpress.com/article/india/india-news
https://timesofindia.indiatimes.com/india/unemployment
https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-09-19/modi

Kingveggie

I'm a Dreamer who try something new. Such as write this Blog. ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น