เนื่องจากวันที่
13 ตุลาคม เป็นวันสวรรคตของ ในหลวง ร.9 ผมจึงอยากเขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับโครงการในพระราชดำริของท่าน
ที่เป็นประโยชน์ และสร้างความมั่งคั่งแก่ประชาชน โดยโครงการที่ผมเลือกหยิบยกมาเขียนคือ
“โครงการเลี้ยงโคนม” จนนำมาสู่ผลิตภัณฑ์แปรรูปนมสำเร็จรูป “ไทย-เดน
มาร์ค” โดยจุดเริ่มต้นก่อนเกิดโครงการนี้คือครั้งเมื่อ เดือนกันยายน ปีพุทธศักราช 2503 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ
เสด็จประพาสทวีปยุโรป ในการเสด็จทรงประทับแรมอยู่ ณ ประเทศเดนมาร์ค
ทรงให้ความสนพระทัยเกี่ยวกับกิจการการเลี้ยงโคนมของชาวเดนมาร์คเป็นอย่างมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ว่าด้วยการร่วมมือด้านวิชาการการเลี้ยงโคนมระหว่างประเทศไทยและประเทศเดนมาร์คตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยวิสัยทัศน์ของพระองค์ที่ก้าวไกลทรงก่อให้เกิดอาชีพพระราชทานคือ “การเลี้ยงโคนม” ทำให้ชาวบ้านมีอาชีพใหม่ที่สามารถเลี้ยงตัวได้อย่างมั่นคงและเกิดการเลี้ยงโคนมขึ้นทั่วประเทศไทยจนปัจจุบันได้เกิด “องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย” (อ.ส.ค.) โดยมีเกษตรกรที่อยู่ภายใต้ความดูแลถึง 4,400 ครอบครัวทั่วประเทศ มีกำลังการผลิตราว 600 ตัน/วัน หรือราว 1 ใน 5 ของกำลังการผลิตทั่วประเทศ (3,300 ตัน/วัน) โดยจัดตั้งศูนย์ อ.ส.ค. กระจายทั่วทุกภูมิภาคทั้ง ประจวบคีรีขัน ,ขอนแก่น ,เชียงใหม่ และสุโขทัย
ต่อไปเราจะดูในส่วนที่เป็นโครงสร้างในเชิงเศรษฐศาสตร์ของโครงการนี้กันว่าสามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมากน้อยเพียงใด
จากตารางแสดงถึงต้นทุนในการผลิตนมโคของไทยที่มีราคาต่ำ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศของเราสูงมาก สังเกตได้จากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในทุกๆปี และปริมาณนำเข้าที่ลดน้อยลง
ความจริงแล้วในรายงานประจำปี ผมพึ่งทราบว่ามีรายละเอียดเยอะมากๆ เพราะมิใช้แค่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากนมวัวอย่างเดียว แต่ยังมีรายได้อื่นๆเช่นการจำหน่ายน้ำเชื้อแช่แข็ง ,การจำหน่ายอาหารสัตว์ และบริการอื่นๆ
จากงบการเงินของ อ.ส.ค. ที่แสดง (อ.ส.ค.
เป็นเจ้าของ ไทย – เดน มาร์ค) พบว่าสามารถสร้างเม็ดเงินให้รัฐบาลมีรายได้ปีละหลายร้อยล้านบาท
และยังเกิดอาชีพที่มั่งคั่ง และมั่นคงแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมคนไทยเป็นจำนวนมาก
ท้ายที่สุดนี้ผมหวังว่าในอนาคตธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์นมโคของไทยจะสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่องให้สมกับความตั้งใจของ
ในหลวง ร.9 ที่ทรงอยากให้ชาวไทยได้บริโภคอาหารที่มีคุณค่า
และให้เกษตรกรชาวไทยได้มีอาชีพที่เป็นหลักแหล่งไม่ต้องทำไร่เลื่อนรอยอีกต่อไป
ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ว่า “ การเลี้ยงโคนมก็เป็นอาชีพที่ดีสำหรับคนไทยเหมาะกับประเทศ
และหากใช้หลักวิชาการที่เหมาะสมก็จะทำให้มีความเจริญและมีรายได้ดี ”
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น