Always with Me

ค่าบริการรถไฟฟ้า BTS


     พอดีผมเห็นเพจ Drama - addictใน Facebook แชร์ภาพนี้ เมื่ออ่านการแสดงความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ต่างเป็นไปในทางที่ไม่เห็นด้วย และบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าค่าโดยสารนั้นแพงมากเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนเงินเดือนที่ได้รับ จากการค้นหาเพิ่มเติมได้ความว่า วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ได้มีการปรับขึ้นของอัตราค่าบริการของ BTS ขึ้นจากเดิม นับเป็นรอบที่ 3 ของปีนี้เนื่องจากแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาถึง 20% ไม่ไหว จากงบการเงินของบริษัทพบว่า


จะเห็นว่ากำไรปี 60 หายไปราว 50% เมื่อเทียบกับปี 59 เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนรวมและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 1 ปี 2550-61 เพิ่มขึ้น 1,350 ล้านบาท หรือ 137.3% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการรับเหมาติดตั้งและก่อสร้างและจัดหารถไฟฟ้าภายใต้สัญญาสัมปทาน จำนวน 1,110 ล้านบาท ต้นทุนที่เพิ่มอีกส่วนคือค่าบริการและค่าโฆษณาจำนวน 150 ล้านบาท และในด้านอื่นๆอีกราว 92 ล้านบาท

ความน่าสนใจของมันคือการเพิ่มขึ้นของต้นทุนที่ส่งผลกระทบมาเป็นทอดๆ แต่รายได้กลับเท่าเดิม ซึ่งผมได้กลิ่นแปลกๆมารำไร ผมขอยกบทสัมภาษณ์ของ Hedge Fund Manger ที่ผมชื่นชอบที่พูดถึง “เงินเฟ้อทางเทคนิค” ผมขอเรียกว่าพี่ต้านนะครับ . . . พี่ต้านเคยพูดถึงเงินเฟ้อทางเทคนิคไว้เมื่อหลายปีก่อน( ดูบทสัมภาษณ์ คลิก) เงินเฟ้อนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีปริมาณเงินในระบบเยอะเท่านั้น เพราะความหมายของเงินเฟ้อจริงๆคือ กำลังซื้อของเราหายไป (purchasing power drop) ดังนั้นแม้แต่การเสื่อมค่าของค่าเงินก็เป็นเงินเฟ้อได้ เช่นที่เกิดกับ 
ริงกิต ของมาเลเซียไปเมื่อเร็วๆนี้ หรือจะเป็นเวเนซุเอลา แต่ในกรณีของประเทศไทยนั้นต่างไปเพราะค่าเงินของเราแข็งขึ้นมากกว่า 8 % นับจากต้นปี


โดยส่วนตัวผมมองว่าน่าจะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำเนื่องจากต้นทุนการนำเข้าสินค้าของประเทศจะถูกลงมาก และน่าจะส่งผลเสียกับการส่งออกเสียมากกว่า และจากการหาข้อมูลพบว่า BTS มีแต่โครงการก่อสร้างเต็มไปหมดเช่นการจัดหารถไฟฟ้าเพิ่มตามสัญญา ซึ่งก็ต้องซื้อจากต่างประเทศ ความจริงต้นทุนน่าจะต่ำลงเพราะเงินบาทเราแข็ง หรือจะเป็นต้นทุนอื่นๆ เช่นเหล็ก?


ราคา4 ปีย้อนหลังก็อยู่ในโซนราคาเดิม เมื่อเทียบกับผลกำไรของบริษัทพบว่าไม่สัมพันธ์กันเลย แสดงว่าค่าเหล็ก ค่าปูนที่ใช้ก่อสร้างก็มีผลกระทบต่อต้นทุนน้อย ถ้าเช่นนั้นต้นทุนแท้จริงที่เพิ่มมาคืออะไร? เพราะปรับราคาค่าโดยสารกระโดดไปเท่าตัว ถ้าเดินทางไป-กลับในสายเดียวกัน (ตามรูป) จะหมดเงินไปประมาณ 100 บาท แต่เงินเดือนขั้นต่ำ 300 นั้นหมายความว่าค่าเดินทางกินเงินไปมากถึง 1 ใน 3 ของรายได้ต่อวัน (รายได้ขั้นต่ำ) ยังไม่รวมค่าครองชีพอื่นๆ ซึ่งบ่งชี้ได้ว่ากำลังซื้อของกำลังเราหายไป แม้ตัวเลขเงินเฟ้อในระบบจะอยู่ในระดับต่ำ แต่หากมองในเชิงผลกระทบ ผมมองว่าเรากำลังเจอ “เงินเฟ้อทางเทคนิค” อยู่ครับ

อ้างอิง

Kingveggie

I'm a Dreamer who try something new. Such as write this Blog. ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น