การจัดทำโครงการนี้
เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิตสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ผู้ผลิตสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์
ได้มีช่องทางในการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นผ่านกลไกของบิ๊กซีที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้
บิ๊กซีจะเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการในการให้ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มตลาด
ความต้องการของตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค
และช่วยเหลือในการพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาด
โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในสาขาของบิ๊กซีทั่วประเทศ
วิเคราะห์ข่าว
นับเป็นข่าวที่ยอดเยี่ยมแห่งปีเลยก็ว่าได้
เพราะหากมีการกลับมาผลักดันโครงการ OTOP อีกครั้ง
จะช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของเราได้ดีเลย
ในมุมมองของผมความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยนั้นมีช่วงที่ห่างมากเกินไป เราสามารถลดช่องว่างพวกนี้ได้อย่างยั้งยืนโดยวิธีพัฒนาการศึกษา
โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้เป็นคนที่มีความสามารถพอที่จะรับกับงานที่มีรายได้สูงขึ้น
แต่วิธีนี้เห็นผลในระยาว (15 – 20 ปี) ผมมองว่าการจ้างงานจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ประเทศไทยเราต้องการในตอนนี้
และนโยบายที่เกิดการจ้างงานสูงมากก็คือ OTOP เพราะประเทศไทยมีมากกว่า
7,000 ตำบล แม้ในความจริงจะไม่สามารถทำได้ทั้งหมดก็ตาม แต่โดยรวมผมมองว่าจะเกิดการจ้างงานและเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล
โดยในปี 2558 OTOP มีรายได้ 1.09 แสนล้านบาท ปัจจุบัน OTOP
เราวิ่งไปตีตลาดประเทศจีนแล้ว โดนปี 2559 ตั้งเป้าไว้ที่ 1.25
แสนล้านบาทและมีเป้าหมายกระตุ้นให้ถึง 2 แสนล้านในปี 2560 (ผมหาข้อมูลรายได้ของโครงการ
OTOPไม่เจอนอกจากของปี 2558 เท่านั้น ที่เหลือจึงเป็นเพียงการคาดการตัวเลขของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง)
สุดท้ายนี้หากเรานำโครงการ OTOP
มาปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย เช่น
อย่างในข่าวคือมีพื้นที่ให้วางของจำหน่ายภายในห้าง
และหากรัฐบาลช่วยทำเว็บไซต์ค้าขายสินค้า OTOP ผ่านอินเทอร์เน็ต
และส่งเสริมหรือนำนวัตกรรมอื่นๆมาช่วยเหลือ
ผมว่าศักยภาพด้านสินค้าและการแข่งขันของไทยเรายังมีอีกมาก
ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาด้านทรัพยากรบุคคลไปพร้อมกัน และนี่จะเป็นสิ่งช่วยเหลือเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างยั้งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น