มาจากการ์ตูนเรื่อง "เคียวนัยตายักษ์" เป็นตอนที่ตัวละคร ซานาดะ ใช้คันเบ็ดฟันใส่กลุ่มคนที่เข้ามารอบทำร้าย ผมชอบคำพูดของเค้ามากๆเลยคือ "คนน่ะไม่ได้ใช้อาวุธฟัน แต่ใช้ฝีมือต่างหากล่ะ" กล่าวคือเราเปลี่ยนทุกอย่างรอบตัวเพื่อใช้เป็นอาวุธได้ทั้งนั้น ทำให้ผมนึกถึงวลีหนึ่งซึ่งทุกท่านคงรู้จักกันดีนั้นคือ "กระบี่อยู่ที่ใจ หากเยี่ยมยุทธแล้วไซร้ แม้กิ่งไผ่ก็ยังไร้เทียมทาน"
คนเราเกิดมาในสถานะที่แตกต่างกันบ้างรวย บ้างจน บ้างแข็งแรง บ้างขี้โรค แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเราคงไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าโอกาสที่ทุกคนได้รับนั้นต่างกัน เพราะมันต่างกันจริงๆผมจะไม่พูดสวยหรูหรอกนะว่าเกิดมาเวลาเท่ากัน เราทุกคนทำได้ มันฟังดูแล้วตลกหวะ หันมามองความเป็นจริงกันบ้างแค่เราเกิดมาก็ถูกแบ่งชนชั้นแล้ว หลักเลยก็ด้วยสถานะการเงินและนั้นทำให้โอกาสของคนต่างกัน หากแต่ความถนัดในบางด้านนั้นหากเราชำนาญมันอย่างจริงจัง พัฒนามันอย่างสม่ำเสมอนั้นก็เป็นส่วนเพิ่มโอกาสต่างๆให้กับเราได้มากทีเดียว ผมจะเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งให้ฟัง. . .ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้อาย เกรียจสังคม และชอบเก็บตัว แม้เค้าจะเรียนค่อนข้างเก่งแต่กลับมีเพื่อนเพียงน้อยนิด วันหนึ่งอาจารย์สาวสุดสวยที่พึ่งย้ายเข้ามาทำงานใหม่และเข้าสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ การเรียนการสอนของอาจารย์นั้นแตกต่างจากที่เค้าเคยสัมผัสมามาก เค้าพบว่าเนื้อหาในหนังสือที่ยากและชวนปวดหัวกลับสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายอีกทั้งในขณะที่อาจารย์สอนยังทำให้นักเรียนสนุกร่วมไปด้วยกัน อาจารย์มักจะแบ่งให้นักเรียนกลับไปศึกษาหัวข้อต่างๆและนำกลับมารายงานหน้าชั้นเรียน ในแบบที่เพื่อนๆจะเข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมกับพูดเสริมเข้าไปในส่วนที่เข้าใจผิดหรือข้อมูลยังไม่ครบ แรกๆเค้าอายมากพูดติดๆขัด (ยืนอ่านซะมากกว่า) แต่ด้วยการฝึกฝนและขัดเกลาจากอาจารย์ ชายคนนั้นสามารถรายงานทุกหมวดวิชาได้อย่างง่ายดาย ไม่ติดขัด ไม่ใช้โพย เค้ารายงานวิชาการยากๆให้เข้าใจได้ง่ายและสนุกสนาน เป็นผู้เริ่มบุกเบิกวงการรายงานแนวแปลกใหม่ของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ในตอนนั้น
ผมว่าวลีสวยหรูข้างต้นบทความนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้หรอก การจะทำได้นั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ต้องทำให้มากกว่าคนอื่น ที่สำคัญต้องเข้าใจในสิ่งที่ทำด้วยว่าเรากำลังทำอะไรและทำมันเพื่ออะไร ท้ายที่สุดนี้ไม่ว่าจะเป็น คันเบ็ด หรือกิ่งไผ่ ก็คงไม่สำคัญแล้วหละเพราะสิ่งที่ทำให้อาวุธน่ากลัวและทรงพลังที่สุดคือ "ตัวของคุณ"
คนเราเกิดมาในสถานะที่แตกต่างกันบ้างรวย บ้างจน บ้างแข็งแรง บ้างขี้โรค แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเราคงไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าโอกาสที่ทุกคนได้รับนั้นต่างกัน เพราะมันต่างกันจริงๆผมจะไม่พูดสวยหรูหรอกนะว่าเกิดมาเวลาเท่ากัน เราทุกคนทำได้ มันฟังดูแล้วตลกหวะ หันมามองความเป็นจริงกันบ้างแค่เราเกิดมาก็ถูกแบ่งชนชั้นแล้ว หลักเลยก็ด้วยสถานะการเงินและนั้นทำให้โอกาสของคนต่างกัน หากแต่ความถนัดในบางด้านนั้นหากเราชำนาญมันอย่างจริงจัง พัฒนามันอย่างสม่ำเสมอนั้นก็เป็นส่วนเพิ่มโอกาสต่างๆให้กับเราได้มากทีเดียว ผมจะเล่าเรื่องของชายคนหนึ่งให้ฟัง. . .ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้อาย เกรียจสังคม และชอบเก็บตัว แม้เค้าจะเรียนค่อนข้างเก่งแต่กลับมีเพื่อนเพียงน้อยนิด วันหนึ่งอาจารย์สาวสุดสวยที่พึ่งย้ายเข้ามาทำงานใหม่และเข้าสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ การเรียนการสอนของอาจารย์นั้นแตกต่างจากที่เค้าเคยสัมผัสมามาก เค้าพบว่าเนื้อหาในหนังสือที่ยากและชวนปวดหัวกลับสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายอีกทั้งในขณะที่อาจารย์สอนยังทำให้นักเรียนสนุกร่วมไปด้วยกัน อาจารย์มักจะแบ่งให้นักเรียนกลับไปศึกษาหัวข้อต่างๆและนำกลับมารายงานหน้าชั้นเรียน ในแบบที่เพื่อนๆจะเข้าใจได้ง่ายๆ พร้อมกับพูดเสริมเข้าไปในส่วนที่เข้าใจผิดหรือข้อมูลยังไม่ครบ แรกๆเค้าอายมากพูดติดๆขัด (ยืนอ่านซะมากกว่า) แต่ด้วยการฝึกฝนและขัดเกลาจากอาจารย์ ชายคนนั้นสามารถรายงานทุกหมวดวิชาได้อย่างง่ายดาย ไม่ติดขัด ไม่ใช้โพย เค้ารายงานวิชาการยากๆให้เข้าใจได้ง่ายและสนุกสนาน เป็นผู้เริ่มบุกเบิกวงการรายงานแนวแปลกใหม่ของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ในตอนนั้น
น่าเสียดายที่ผมหาได้แค่รูปเดียวเพราะสมัยนั้นเค้ายังไม่เล่น Facebook ความจริงต้องบอกว่าไม่เล่นสื่อออนไลน์ทุกชนิดเลยดีกว่า. . .เค้าเริ่มคิดค้นการรายงานรูปแบบใหม่ๆขึ้นมา แต่ที่เค้าถนัดที่สุดคือการเปลี่ยนทุกสิ่งเป็นละคร ใช่ครับเค้าเปลี่ยนเนื้อหาเรียนทุกวิชามาแสดงเป็นละครได้ทั้งหมด คือสนุกและเข้าใจง่ายมาก เค้ายังลงทุนเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย หาอุปกรณ์เสริมมาใช้ในการรายงาน ในขณะที่กลุ่มอื่นๆยังทำแค่ออกไปยืนอ่านเท่านั้น จากรูปนี่เป็นการรายงานที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก แต่ไม่ใช่อะไรนะครับผมจำได้แม่นเลยว่าเค้าทำออกมาในรูปแบบรายการทีวี (ตินนี่เกิดมาคุย)โดยเชิญแขกในแวดวงต่างๆมาถกปัญหากันและเพื่อความสมจริง เค้าจงใจจะใช้การสัมภาษณ์สดและตอบสด โดยเตรียมการแค่เพียงว่าทางกลุ่มต้องพูดในเรื่องอะไรเป็นหลักควรถามคำถามแนวไหน คือเป็นการรายงานที่โครตฮา แต่ทำออกมาได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ค่อนข้างไหลลื่นแต่อาจจะติดขัดบ้างเพราะเป็นการถามสดตอบสด ในครั้งนั้นอาจารย์บอกว่ากลุ่มเค้าไม่ได้เตรียมตัวสำหรับรายงานเท่าไหร่เพราะดูแล้วคือเหมือนคนไม่ได้ซ้อมรายงานมา ซึ่งก็จริงเพราะเค้ามาพูดกันสดๆเลย 555 นั้นเป็นครั้งเดียวของเค้าที่ด้นสดทางวิชาการยาวถึง 15 นาทีแต่โชคยังดีที่รอดชีวิตมาได้ -..- จะว่าไปแล้วที่โรงเรียนเป็นโรงเรียนคริสเตียน ผมว่ามีการสอนในรูปแบบที่แตกต่างคือมักจะใช้การให้นักเรียนกลับไปหาข้อมูลและนำมารายงานหน้าห้อง เรียกได้ว่ามีรายงานทุกอาทิตย์เลย จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยเค้าก็ยังคงโชว์ผลงานการรายงานได้อย่างยอดเยี่ยม กวาดเรียบทุกคะแนนทั้งการรายงานและการตอบคำถาม จนอาจารย์วิชาหนึ่งชอบมากๆถึงขึ้นมอบเหรียญในโอกาสพิเศษของมหาลัยให้ (ไม่มีขาย)
อาจารย์บอกว่าเก็บไว้ดีๆเพราะรางวัลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานมาหนัก. . .ฟังแล้วน่าตกใจนะ เหมือนอาจารย์รู้ว่ากระบวนการมาของการนำเสนอนั้นผ่านอะไรมาบ้าง ใช่ครับทุกท่าน การจะนำเสนออะไรก็ตามเราต้องตีโจทย์ให้แตกก่อนว่าเรากำลังจะออกไปพูดอะไรกันนั้นแน่ ถ้าเรายังไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไรก็คงจบตั้งแต่เริ่ม ฟังดูเหมือนง่ายนะครับแต่ส่วนนี้คือส่วนที่ยากที่สุด คนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเค้ากำลังพูดอะไรอยู่ ผมหมายถึงแก่นแท้ของรายงานหนะ หากเรามองออกแล้ว ที่เหลือคือการอ่านและค้นหาข้อมูล เค้าคนนั้นจะใช้เวลาอ่านเยอะมากๆเห็นได้จากเอกสารอ้างอิงในทุกรายงานของเค้า เค้าบอกผมว่ายิ่งอ่านมากจะยิ่งเจออะไรที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ดังนั้นต้องอ่านให้มากอีกหาข้อมูลมาตอบจนกว่าจะ "สิ้นสงสัย" การทำงานกลุ่มร่วมกับเค้าทำเอาเพื่อนๆยกธงยอมไปหลายคน ส่วนหนึ่งเพราะความเอาแต่ใจ ความมั่นใจของเค้า เค้าไม่ค่อยให้ใครคิดมักจะเป็นคนคิดและวางแผนในทุกๆขั้นตอนไม่มีขั้นตอนไหนเลยที่เค้าปล่อยผ่านไม่ตรวจอ่าน นั้นทำให้เค้าทำงานหนักและทำให้เพื่อนร่วมงานอึดอัดเช่นกัน
หากท่านที่มีลักษณะคล้ายกันคงจะเข้าใจว่าการรายงานเนื้อหาทางวิชาการให้เข้าใจง่ายแถมสนุกนั้นมันโครตจะยาก เค้าบอกผมว่า "ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆไม่ได้ แสดงว่ายังไม่เข้าใจมันจริงๆ" ชื่อเสียงเค้าเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการรายงานเชิงวิชาการ ไม่ว่าจะให้เวลาเตรียมตัวสั้นแค่ไหน หรือแม้แต่ถามสดตอบสดเค้าก็ทำได้ดีเยี่ยมเสมอ ดังที่พูดไปในตอนต้นว่า คนน่ะไม่ได้ใช้อาวุธฟัน แต่ใช้ฝีมือต่างหากล่ะ หากเปรียบกับเค้าแล้วก็ต้องบอกว่าสนามการรายงานนั้นเค้าจัดเป็นอันดับต้นๆของโรงเรียน ถ้าในมหาลัยก็อันดับต้นๆของคณะ ไม่ว่าวิชาไหน เนื้อหาแบบไหน ระยะเวลาเตรียมตัวสั้นแค่ไหน นำเสนอรูปแบบไหนเค้าล้วนทำได้ดีเสมอ แต่ก็ไม่ถึงขนาดดีไปทั้งหมดเพราะแน่หละไม่มีสิ่งไหนสมบูรณ์แบบหรอกนะ เค้าไม่ถนัดการรายงานในรูปแบบที่เคร่งๆวิชาการ พูดเน้นแต่วิชาการหนักๆ ไม่มีเฮฮา ยืนอ่านๆเป็นนกแก้วนกขุนทอง เรียกได้ว่าเป็นแนวการรายงานที่เกลียดที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ถึงเกลียดเค้าก็ทำได้ดีมาตลอดอาจารย์ชมทุกการรายงานของเค้า ท้ายที่สุดนี้ท่านๆคงทราบดีว่าผมพูดถึงใคร เพราะเค้าคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "ตัวผมเอง" 555 ผมรู้ว่าเพื่อนร่วมกลุ่มนั้นเหนื่อยกับการบ้างานของผม แต่ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆของผมจะได้รับสิ่งที่ผมคิดว่าดีจากการทำงานหนักในเชิงวิชาการ และนำไปปรับใช้กับชีวิตบ้างไม่มากก็น้อย มันเปลี่ยนชีวิตผมและผมอยากให้มันเปลี่ยนกับคนที่ผมรักเช่นกัน ผมอยากขอบคุณเพื่อนๆที่ช่วยกันพลักดันให้เราต่างเติบโตไปพร้อมกัน ผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะน่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้พูดมันจากปากของตัวเอง. . . ถึงแม้เพื่อนๆของผมอาจจะไม่มีโอกาได้อ่านบทความนี้แต่ผมขอพูดจากใจจริง "ขอบคุณนะที่อยู่ข้างผมเสมอมา"
ผมว่าวลีสวยหรูข้างต้นบทความนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้หรอก การจะทำได้นั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ต้องทำให้มากกว่าคนอื่น ที่สำคัญต้องเข้าใจในสิ่งที่ทำด้วยว่าเรากำลังทำอะไรและทำมันเพื่ออะไร ท้ายที่สุดนี้ไม่ว่าจะเป็น คันเบ็ด หรือกิ่งไผ่ ก็คงไม่สำคัญแล้วหละเพราะสิ่งที่ทำให้อาวุธน่ากลัวและทรงพลังที่สุดคือ "ตัวของคุณ"
. . . . . ชีวิตท่าน ท่านเลือกเอง . . . . .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น