เช่นเคยเรามาเปิดกันด้วยข่าวสารทั่วไปก่อน เพราะข่าวสารสะท้อนถึงสะภาพที่แท้จริงของประเทศ ผมมั่นใจเช่นนั้นส่วนไอ้คำพูดสวยหรูขายฝันที่ชอบออกมาจากนักการเมืองหรือรัฐบาลมันก็เชื่อถือได้ระดับหนึ่ง แต่การใช้ชีวิตประจำวันและข่าวสาร อันนี้ของจริงหากท่านย้อนกลับไปยัง 3 บทความเรื่อง "เศรษฐกิจไทยในอนาคต" ทั้ง 3 บทความที่ผมเคยเขียนไปแล้วนั้นพบว่าผมนำข่าวสารบริษัทที่ทยอยปิดตัว ปลดคนงาน ปัญหาการส่งออก ปัญหาหนี้สินทั้งภาคครัวเรือน และหนี้เสีย (NPL) รวมไปถึงความเลี่ยมล้ำทางรายได้ และการลงสำรวจพื้นที่จริงของผม วันนี้ผมรวบรวมมาเพิ่มครับ
1. กยศ. แทบทรุด นักศึกษาพร้อมใจกันชักดาบ 12 ปี มีหนี้เกือบแสนล้าน
กยศ. ทรุดหนัก 12 ปีที่ผ่านมา คนติดหนี้เกือบแสนล้านบาท ปี 2559 ปีเดียวฟ้องไปแล้วกว่า 170,000 ราย พร้อมดำเนินการยึดทรัพย์อีกกว่า 50,000 ราย
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้ากับการดำเนินการกับผู้ผิดนัดชำระเงินกู้ กยศ. ว่า ผู้กู้ที่ค้างชำระตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 และถูกฟ้องร้องมีกว่า 900,000 ราย มีหนี้รวมกว่า 90,000 ล้านบาท และเฉพาะปี พ.ศ. 2559 มีผู้ที่ถูกฟ้องไปแล้ว 170,000 ราย ส่วนกองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) มีผู้ถูกฟ้องไปแล้ว 85,000 ราย ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดี สืบทรัพย์และยึดทรัพย์กว่า 50,000 ราย รวมเป็นหนี้กว่า 4,000 ล้านบาท
2. คนงานนับร้อย จู่ๆ ถูกสั่งปลดฟ้าผ่า กอดคอกันตกงาน
คนงานกว่าร้อยชีวิต โผเข้ากอดกันร้องไห้ กับชะตากรรมที่ต้องเผชิญพร้อมกันในเช้าของเมื่อวานนี้ เป็นภาพที่ไม่มีใครอยากเห็น ซึ่งเกิดขึ้นภายในโรงงานปั่นด้ายของชาวอินเดีย ตั้งอยู่ตำบลน้ำเชียว อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งมีคนงานทั้งชาวไทย และแรงงานเพื่อนบ้าน 1,270 คน
3. ห่วงแรงงานไทย 'ทักษะการเงิน' ต่ำ
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการสถาบันคีนันแห่งเอเซีย ระบุว่า หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างหนี้ของรัฐบาลในอดีต เป็นไฟที่สู้ไม่ไหว ซึ่งแนวโน้มหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ลดลง แม้จะมองว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ระดับที่เกิน 80%ต่อจีดีพีนี้ยังถือว่าเป็นระดับอันตราย เทียบกับประเทศที่มีการบริหารจัดการที่ดีจะพบว่ามีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพียง 40% เท่านั้น ดังนั้น เป้าหมายที่เราอยากเห็นคือการลดระดับหนี้ครัวเรือนลงให้ต่ำกว่า 50% ต่อจีดีพีให้ได้ จึงจะเป็นระดับที่ปลอดภัย
ทั้งนี้กลุ่มแรงงานถือเป็นกลุ่มที่มีขนาดของปัญหาใหญ่ที่สุดและมีจำนวนมากที่สุดใน 3 กลุ่ม โดยปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปีอยู่กว่า 38.4 ล้านคน ขณะที่กลุ่มนักศึกษามีจำนวน 12.8 ล้านคน และกลุ่มเกษตรกรมี 7.9 ล้านครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานในระบบที่ยังมีความรู้ทางการเงินน้อย แต่มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพราะมีรายได้ประจำ ซึ่งมีการกระตุ้นให้เป็นหนี้ผ่านสื่อโฆษณาต่าง ๆ
4. เนชั่น’เบี้ยวหนี้บี/อี100ล้าน ‘นิวส์’ผนึกผู้ถือหุ้นฟ้องคดีอาญาอีกเร็วๆนี้
รายงานข่าวจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ทริสปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) NMG เป็น “D” (ผิดนัดชำระหนี้ หรือ Default) พร้อมทั้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” เนื่องจากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้หรือต่ออายุตั๋วแลกเงิน (บี/อี) มูลค่า 100 ล้านบาทที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 12 ตุลาคม 2559 ก่อนหน้านี้ ทริสเรทติ้งได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรของ NMG ลงเหลือ BB+ซึ่งต่ำกว่าอันดับที่น่าลงทุน จากเดิมอยู่ที่ BBB ซึ่งเป็นการลดลงเป็นครั้งที่ 2 แล้ว จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ BBB+
World Bank ได้จัดอันดับโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศแถบเอเชียเรา
ข้อมูลจาก http://www.prachachat.net/news
ก็คงไม่ต้องอธิบายเยอะนะครับ จากรูปก็เข้าใจกันอย่างง่ายๆแล้ว ถ้าตามเข้าไปอ่านบทความนี้ ก็นะจะเห็นว่าพี่แกพูดหว่านแหว่ามันจะมีดีแม่งทุกประเทศอะ อ่านแล้วงงเลย มันจะดีทุกประเทศได้ไงวะ? เอาจริงๆนะครับ . . . เงินในโลกมีปริมาณจำกัด และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะได้กำไร นั้นหมายความว่าคนหนึ่งได้กำไร ก็ต้องมีอีกคนที่ขาดทุน ดังนั้นพักหลังๆอ่านบทความพวกนี้แล้วผมไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ แม่งจะดีทุกประเทศ? อาจจะเลี่ยงด้วยการใช้คำว่าเติบโตช้าหน่อย แต่โตแน่นอนหรือชะลอตัว อะไรทำนองนี้ ผมว่าตลกดี มึงบอกไปเลยว่ามันไม่โตหรอก แถมจะเจ๊งด้วยยังเข้าใจง่ายกว่า 555
แล้วบ้านเราปีนี้ (2559) มันโตถึง 3% เหรอวะนั้น ไม่ใช่ละถ้าวัดต่อ GDP มันแค่ 2% เองไม่ใช่เหรอวะ (หรือผมจำผิด) เอาเถอะถ้าท่านอ่านตามๆมาทั้ง 3 บทความที่ผ่านมา ท่านก็คงจะเห็นความเน่าของเศรษฐกิจบ้านเรา เพราะผมไม่ได้มโนผมเอาข่าวที่เกิดขึ้นจริงๆมาพูด ถ้าจะมีมโนบ้างก็ในส่วนของตลาดหุ้น แต่ก็เป็นการวิเคราะห์ต่อจากข่าวและดูการเคลื่อนที่ของกระแสเงินอีกทีนั้นแหละ
ว่าแล้วเรามาดูตลาดหุ้นกันเถอะว่ามันผันผวนมากขนาดไหนกัน . . . .
เห็นมั๊ยครับราคาวิ่งกันแบบบ้าคลั่งมาก บทจะลงนี่ใช้เวลาแค่ 4 วัน ล่วงลงไปแตะ 1342 แล้วก็ไล่กลับขึ้นมาได้พร้อม Volume ที่ค่อยๆลดลง ว่าแต่มันราคามันลงแรงเพราะอะไรหละ? ก็แน่นอนครับว่าเพราะมีการเทขายจำนวนมาก แต่ๆๆๆ การที่ราคาไล่กลับอย่างรวดเร็วก็หมายความว่ามีคนมาไล่เก็บหนะซิ ถ้าเช่นนั้นแล้วผมเลยเดาว่ารายใหญ่ปั่นข่าวหรอกให้รายย่อยขายทิ้ง จนราคาลงมาถูกมากแล้วก็ค่อยๆไล่เก็บและราคาก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว อ่าเหมือนดูหนังฉากเดิมๆ แต่ๆๆๆๆ ผมคิดผิด!!!
นี่เป็นข้อมูลในช่วงวันที่หุ้นล่วงลงไปแตะ 1342 ท่านเห็นอะไรมั๊ยครับ? ใช่แล้วครับในวันที่มีการขายจากทั้งสถาบันและต่างชาติคือ 10 11 และ 12 รายย่อยเป็นคนเข้าไปเก็บทั้งนั้นเลย เข้าไปไล่ราคาจนตีกลับมาได้และในวันต่อมาก็ขายทำกำไรโดยมีสถาบันเข้าไปเก็บแต่ต่างชาติยังคงเทขายอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจาก http://marketdata.set.or.th/
ข้อมูลล่าสุดจะเห็นได้เลยว่าตลอดเดือนนี้นักลงทุนจากต่างประเทศเทขายกันเกลี้ยง และยังคงขายอย่างต่อเนื่อง ท่านก็จะเห็นจาก Volume ที่ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ใครว่าไม่สำคัญผมว่าไม่ถูกต้องนะ เพราะมันมีส่วนสำคัญมากๆ คิดซิทำไมรายใหญ่ถึงถอนเงินออก? รายย่อยเองก็ถอนเงินออกบ้างบางส่วน หลงเหลือแค่สถาบันที่เข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง ถ้าพูดกันตามเทคนิคที่คนไทยนิยมเล่นกันนะ จากกราฟหากมีการทำ Higher high อีกรอบ หมายความว่าราคาสามารถดันไปเกินประมาณ 1520 ตรงจุดนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพาะจะมีทั้งแรงเทขายและแรงเข้าซื้อ ค่อนข้างจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการทำกำไรเลยหละ แล้วถ้ามองตามหลักความจริงของโลกนะตอนนี้มันกำลังไล่ขึ้นไปจนถึงตรงนั้นละ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าจะมีข่าว พอพูดถึงข่าวเมื่อวานผมพึ่งเขียนเรื่องการเลือกตั้งของเมกาที่กำลังจะเกิดขึ้นไป ข่าวออกมาเลยว่าจากผลสำรวจย้อนหลัง การเลือกตั้งที่ผ่านมา 7 สมัยของสหรัฐ หุ้นไทยรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกครั้ง แหนะๆๆๆ เริ่มมาละ ผมไม่ได้กล่าวหาอะไรนะครับ แต่ระดับสถาบันไม่มีทางยอมขาดทุนอยู่แล้ว อำนาจมหาศาลขนาดนั้นการปล่อยข่าวย่อมมีผลกับตลาดมหาศาลเช่นกัน โดยส่วนตัวผมเดาว่าข่าวดีจะออกมาอย่างต่อเนื่องและราคาจะทำ higher high จากนั้นรายย่อยจะเข้ามาไล่ราคาแล้วกองทุนจะค่อยๆเทขาย เพราะต่างชาติออกกันหมดแล้ว พอกองทุนเทขายหมดสุดท้ายผู้เล่นรายใหญ่นตลาดก็จะกลับกลายเป็นรายย่อยที่โดดเข้ามา และก็นะตามเดิม หนังบทเดิมๆ . . . . ที่เค้าเรียกลุกช้าจ่ายรอบวง ^^
อาจจะเป็นบทความที่สุดโต่ง และดูมืดมนไปสักหน่อยแต่ยังไงๆ Fed ก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย และส่งสัญญาณออกมาเรื่อยๆ ตามอ่านข่าวได้เรื่อยผมจะแนบลิงค์ไว้ให้ ถ้าสนใจเข้าไปอ่านได้
ความจริงมีอีกเยอะมากๆ และพี่ต้าน ผู้บริหารกองทุนที่ผมติดตามอยู่ก็ออกมาให้เหตุผลที่ fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยอยู่ตลอดๆ อีกทั้งจากบทความเรื่อง "การเลือกตั้งของอเมริกา" ที่ผมเขียนก็บอกอย่างละเอียดแล้วว่ายังไงเงินทุนต่างชาติก็ต้องไหลออก ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเงินทุนก็ต้องไหลออก เศรษฐกิจชะลอกันไปทั้งโลก คนเก่งๆเค้าซื้อสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงและสินค้าที่มันถูกกว่าความเป็นจริง (Devalue) กัน เช่นทองคำ ,น้ำมัน ,สินค้าโภคภัณฑ์บ้างอย่าง เช่น น้ำตาล, ธัญพืช
ผมก็ไม่รู้ว่าจะคิดถูกไม่นะ เพราะผมก็เปิด Demo ทดลองวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกอยู่เหมือนกันผมก็ไล่เก็บสินค้าพวกนี้ได้นานละ แล้วก็ทำกำไรจากมันได้เรื่อยๆนะ
ทองคำ
ธัญญาพืช
น้ำมัน (ตัวนี้ได้ไปเยอะเลย ขายออกไปเยอะเหมือนกันที่เหลือปล่อยวิ่งยาวๆ)

น้ำตาล (ตัวนี้ก็ได้ไปเยอะเหมือนกัน)
https://www.facebook.com/BBCThai/
นั้นแหละครับ ผมก็ยังมองว่าตลาดหุ้นไม่น่าเล่นความเสี่ยงสูง และคงจะให้ผลตอบแทนต่ำเพราะมันค่อนข้างแพงแล้วในสถานะการแบบนี้ สู้มาซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ถูกๆเก็บดีกว่า ซื้อทองคำ ซื้อเงิน(Silver) เก็บประกันความผันผวนของค่าเงิน (Currency) ซะยังจะดีกว่า การที่เศรษฐกิจบ้านเราจะไปต่อได้เห็นมีอย่างเดียวครับคือจำเป็นที่จะต้องจ่ายหนี้เพื่อให้สามารถกู้ยืมใหม่ได้ แต่ในสถานะการที่หนี้ครัวเรือนสูง (81%) บริษัท โรงงานทะยอยปิดตัวและลดการจ้างงาน แม้แต่คนไทยด้วยกันยังหนีออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน การส่งออกก็แย่ ค่าเงินก็ผันผวนมากๆ ยิ่งช่วงนี้คนไทยได้เจอเข้ากับข่าวที่เศร้าเสียใจ และบรรยากาศที่เศร้านี้ทำให้จำต้องงด หรือลด งานรื่นเริงลง ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงประเด็นนี้สักเท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างอ่อนไหวมากๆ แต่ผมก็คงปล่อยผ่านไม่ได้เช่นกันเพราะการงด หรือลด กิจกรรมทางสังคมบางอย่าง อย่างกระทันหันย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง อย่างแรกเลยคือแม่ค้าแถวบ้านผมบนกระระงมว่าหนี้ก็ต้องจ่าย (พวกร้อยละยี่สิบ) มันมาทวงทุกวัน ลูกก็ต้องส่งเรียนแต่ดันขายของไม่ได้เพราะห้ามขาย (ถนนคนเดิน) แค่ช่วงสั้นๆ หรือจะเป็นงานเทศกาลต่างๆที่เม็ดเงินสะพัดก็ต้องยกเลิกกันไปจนตอนนี้สิ่งที่ไกลตัวผม ที่ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดก็เกิดขึ้นครับ
ความจริงไม่อยากจะพูดเลยแต่ถ้ามันเป็นโอกาส การเก็บของถูกก็เป็นทางเลือกที่ดีของการลงทุนครับ สำหรับท่านใดที่พอมีเงินทุนและสนใจธุรกิจด้านนี้ ตอนนี้นับว่าเป็นช่วงเก็บของถูกเลยทีเดียว แค่ทนรออีกหน่อยพวกเค้าก็จะมีงานน้อยลงค่อยๆทยอยปิดและไม่ว่ายังไงพวกเค้าก็ต้องหาเงินเพื่อใช้หนี้ด้วยการขายของ ถูกยังไงก็ต้องขายเพราะยังต้องกินต้องใช้. . .ฟังดูโหดร้ายแต่นี่แหละความจริงของโลก!!
เราอยู่ร่วมกันเป็นสังคมใหญ่มิใช่แค่กลุ่มเล็กๆ หากเรายังให้ความสำคัญอย่างไม่เท่าเทียมแล้วมันจะปกครองประเทศได้เช่นไร? ผมยังไม่คิดเลยว่าการหยุดงานแค่ไม่กี่วัน หรือการประกาศให้งด หรือลด การกระทำอะไรบ้างอย่างจะส่งผลกระทบมากขนาดนี้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผมยังอ่อนด้อยประสบการณ์นัก
ที่มิสามารถมองเห็นผลกระทบลูกโซ่ที่เกิดตามมาได้ ก็คงต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อไปเพื่อที่ว่าในอนาคตหากเกิดเหตการณ์บางอย่างแล้วผมสามารถที่จะมองเห็นผลกระทบ ผมอาจจะทำกำไรได้ แม้จะอยู่บนความโชคร้ายของคนอื่นก็ตาม คือใช้สมองคิดเยอะๆนะครับ ผมพูดมันดูโหดร้ายแต่คุณต้องมองหลักความจริงด้วย เงินมีจำกัดถ้าไม่ได้กำไรก็คือเสีย มันมีแค่นั้นแหละครับโลกเรา . . .
!!! ชีวิตมีความเสี่ยงเสมอถ้าไม่วางแผน !!!
. . . . . ชีวิตท่าน ท่านเลือเอง . . . . .





















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น