Always with Me

เศรษฐกิจไทยในอนาคต 2

10/9/2559

ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนจังหวัดขอนแก่นเป็นเวลาสั้นๆคือ 4 วัน ( 2 - 5 กันยายน) โดยส่วนตัวผมไม่เคยไปจังหวัดขอนแก่นมาก่อนเลย เคยฟังจากเพื่อนสนิทของผมว่าเค้าอยากย้ายจากเชียงใหม่ไปทำธุรกิจที่ขอนแก่น เพราะมองเห็นถึงกำลังซื้อและผู้คนที่มากมาย จากข้อมูลของระบบสถิตทางการทะเบียนล่าสุดในปี 2558 พบว่าจังหวัดขอนแก่นมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 1,798,014 คน เป็นชายและหญิงพอๆกัน ประชากรส่วนมากอยู่ในวัยทำงาน (ดูข้อมูลเพิ่มเติม คลิก ) ในวันแรกที่ผมไปถึงได้เจอหนังสือเกี่ยวกับอนาคตของจังหวัดขอนแก่น แบบประมาณว่ากำลังจะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าไปทั้วทั้งเมือง กำลังจะมีห้างใหญ่หรือกลุ่มธุรกิจมาลงทุนมากมายนับ 10 แห่ง ผมคุยกับตัวแทนการจำหน่ายที่ดินรายใหญ่ของจังหวัดพบว่ายอดขายคอนโดมีจำนวนมหาศาลและมีอีกหลายโครงการกำลังเร่งก่อสร้าง ราคาที่ดินก็พุ่งสูงมากๆ สูงกว่าหรือเทียบเท่าเชียงใหม่ในหลายๆพื้นที่ ผมรู้สึกอึ้งมากเพราะภาคอีสานในอดีตที่ผมรู้จักนั้นคงกำลังจะเปลี่ยนไป ความจริงแล้วผมมีธุรเกี่ยวกับการจัดการอสังหาริมทรัพย์ซึ่งคุยง่ายและตกลงเสร็จในวันเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ผมอยู่ต่ออีกคือการที่ผมอยากรู้ว่าทำไมราคาที่ดินจึงได้สูงเสียขนาดนั้น? 

ที่แรกที่ผมไปคือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ขอนแก่น 



ขอโทษทีที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา รูปประกอบนี้ผมเอามาจากอินเทอร์เน็ตนะ . . . ผมเดินเที่ยวในห้างอยู่นานเลย คุณรู้มั๊ยต้นเดือนที่เงินเดือนออก แถมเป็นเย็นวันศุกร์ ห้างร้าง ไม่มีคนเลย ผมพูดจริงๆนะ โครตหลอน เทียบกับเชียงใหม่แล้วบอกเลยคนละเรื่อง คนน้อยมากๆ น้อยจนผมตกใจ ยิ่งเดินลงไปชั้นล่าง ร้านปิดเต็มไปหมดที่ผมนับได้มากกว่า 20 ร้าน คือรู้สึกตกใจมากเพราะห้างใหญ่ขนาดนี้ช่วงต้นเดือนเย็นวันศุกร์ควรจะมีการจับจ่ายซิ แต่ที่นี่ไม่? นี่เป็นจุดสังเกตุที่ 1

ต่อมาผมไป HUGZ Mall 


เป็นคล้ายกับห้างนี่แหละ บรรยากาศแบบเปิดมีร้านขายของมากมายส่วนใหญ่เป็นอาหารเครื่องดื่มเปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ไม่มีคนเช่นกันเรียกได้ว่าร้างยิ่งกว่าเซนทรัล เป็นห้างมี 3 ชั้นแล้วก็มีการปิดตัวของร้านค้าไปเยอะมากๆ ชั้น 3 เหลือผู้เช่ารายเดียวแต่ดีหน่อยเค้าเปิดเป็นค่ายสอนชกมวย นี่เป็นจุดสังเกตุที่ 2

ต่อมาผมไป ตึกคอม


เป็นห้างหนึ่งในจังหวัดเช่นกัน ห้างนี้ดีหน่อยเพราะมีคนเยอะดูเหมาะแก่การเรียกตัวว่าเป็นห้าง 555 ส่วนใหญ่ที่นี่เป็นเด็กๆเสียมาก พวกเด็กนักเรียนมาซื้อหนังสือ มากินข้าว หาขนม หามุมอ่านหนังสือในร้านกาแฟ แล้วจะบอกว่าผมพักอยู่กลางเมืองขอนแก่นเลย แต่เย็นวันเสาร์ต้นเดือนเวลา 19.00 ถนนแม่งไม่มีรถ เชี่ยยยยโครตพีคอะ ถ้าเป็นเชียงใหม่กลางเมืองแบบนี้บอกเลยติดแบบฉิบหายตายห่า ไม่ต้องขยับกันเลยทีเดียว แต่ที่นี่พระเจ้าโล่งมาก โล่งจนน่าตกใจ คนมันไปไหนกันหมดวะ แต่ยังก่อนๆผมยังไม่หมดความพยายามเราต้องไปถนนคนเดินขอนแก่นให้ได้

ดังนั้นที่ต่อมาคือ ถนนคนเดินขอนแก่น

 

เออ!!! มาที่นี่แล้วค่อยโล่งหน่อย เพราะคนเยอะมาก สงสัยอัดอั้นกันมาแต่ที่นี่ 555 เท่าที่ดูๆคนจับจ่ายเยอะกับอาหารเครื่องดื่ม พวกสินค้าฟุ่มเฟือยมักจะโดนมองข้ามและเดินผ่านไป ผมเองก็จับจ่ายไปที่นี่เยอะเช่นกันส่วนใหญ่เป็นของฟุ่มเฟือย -..- 

ก่อนจะสรุปจะเอาอีกหนึ่งสิ่งที่สังเกตมาเล่าคือเช้าวันอาทิตย์ผมเดินสำรวจผู้คนพบว่า


ครับอย่างที่เห็น วันหยุดแท้ๆในเมืองถนนยังกับเมืองร้าง ร้านค้าปิดเพียบ เห้ยยยยมันไม่ใช่ปะวะ พวกมึงหายไปไหนกันหมด ผมเดินดูถนนและการจับจ่ายทุกเย็นที่อยู่ที่นั้น คนแม่งน้อย รถก็น้อย จะมีดีหน่อยก็ถนนคนเดิน. . .แต่ท่านอย่าพึ่งยอมแพ้ครับเพราะในเช้าวันจันทร์ที่ผมกำลังจะกลับนั้นผมเดินออกมานอกโรงแรมและต้องตกใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก ถึงขั้นขนหัวลุก เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือ รถยนต์ครับ รถติดเต็มถนน เด็กนักเรียนวิ่งกันให้วุ่นเตรียมไปโรงเรียน คนเตรียมตัวไปทำงาน พระเจ้าภาพแบบนี้มันควรอยู่ในเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีอนาคตทางเศรษฐกิจ ค่อยโล่งใจหน่อยเพราะเหมือนเชียงใหม่ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าอยู่ดี พอเดินออกดูแถวๆโรงเรียนขอนแก่นก็เห็นพ่อค้าแม่ค้าตั้งขายของกันเต็มหน้าโรงเรียน พวกร้านค้าแถบนั้นก็เปิดกันบ้างบางส่วน

เอาจริงๆนะผมว่ามโนกันอยู่ดูแล้วไม่พบกำลังซื้อเลย แต่ราคาที่ดินกลับสูงเพราะพวกแม่งเข้าไปเกร็งกำไรกันไง ด้วยแผนขายฝันเรื่องรถไฟฟ้าและห้างใหญ่ที่กำลังจะมา เห้ยดูสนามบินคุณก่อนมั๊ยข้างรันเวย์แม่งเป็นดินโคลนกับหญ้ารกๆ ส่วนตัวที่ผมคิดคือการจะเป็นเมืองเศรษฐกิจหมายยังห่างไกล ผมจะสรุปเป็นข้อๆดังนั้น

1. คุณต้องรองรับปริมาณคนได้ ซึ่งถูกต้องแล้วที่ต้องมีคอนโดหรือที่พักเพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้คนที่จะหลั่งไหลเข้ามา แต่การขนส่งก็จำเป็นไม่แพ้กันสนามบินพวกคุณรองรับคนได้ไม่พอ ยังต้องพัฒนาอีกเยอะมาก หากดูเชียงใหม่สนามบินนั้นก็รองรับได้ต่ำเช่นกันแต่คนนอกคงไม่รู้ว่ากำลังก่อสร้างสนามบินอีกแห่งอยู่ ณ ตอนนี้ ใช่ครับคุณต้องรองรับการเดินทางการเคลื่อยย้ายของแรงงาน นักท่องเที่ยวได้ โครงสร้างพื้นฐานต้องแข็งแกร่งก่อน

2. จากที่ผมเห็นพบว่าผู้คนฝันกันไว้มากกับความเจริญที่กำลังจะมาด้วยข่าวอะไรก็แล้วแต่อะนะ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ราคาที่ดินจะกระโดดสูงขึ้นด้วยการเกร็งกำไร มันสูงเกินจริงมาก

3. กำลังซื้อพวกคุณต่ำ ข้อนี้ผมไม่มีข้อมูลที่เป็นวิชาการมีเพียงการลงพื้นที่สำรวจดูการจับจ่ายเพียงเท่านั้น ดังนั้นข้อนี้ผู้อ่านไตร่ตรองให้ดี

4. สมมุติว่ามีการสร้างรถไฟฟ้าจริง มีการสร้างห้างจริง จะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่ผมเห็นคือเม็ดเงินมหาศาลที่ลงไปในระบบทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นด้วยการเกร็งกำไร การจับจ่ายมากขึ้นนั้นหมายถึงการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ใช่ครับมันจะเร่งเงินเฟ้อให้รุนแรงขึ้นเพราะสภาพที่แท้จริงแล้วกำลังซื้อต่ำ

เมื่อดูหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนปี 2558 แล้วพบว่าขอนแก่นมีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงถึง 62,493 บาทแต่เชียงใหม่มีเพียง 31,196 บาท ครึ่งๆอะ เมื่อดูค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนปี 2558 พบว่าขอนแก่นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 16,680 บาท และเชียงใหม่ 11,864 บาท แทบไม่ต่างกันต่างกันเลย แต่รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนขอนแก่นปี 2558 สูงกว่าเชียงใหม่มากคือ 21,337 บาทและเชียงใหม่ 14,950 บาท ว้าววว เงินเดือนต่างกันมากขนาดนี้ (แทบจะเท่าตัว) แต่การจับจ่ายเท่ากัน กล่าวคือมันน้อยมากไงหละเมื่อเทียบกับรายรับ บางคนบอกเค้าเก็บออม แต่เปล่าเลยคุณดูตัวเลขหนี้สินซิ ผมถึงบอกในข้อ 4 ไงรายได้มากรายจ่ายมากตามแถมไม่พอต้องกู้เพิ่มด้วยนะ นี่แหละมนุษย์ (ข้อมูลทางสถิติข้างต้นได้มาจาก คลิกที่นี่ ) 
ถ้าพูดถึงจำนวนคนก็ไม่ได้ต่างกันเลยข่อนแก่นมี 1,798,014 คน เชียงใหม่มี 1,728,242 คน ดังนั้นอย่าที่เล่ามาทุกอย่างมันชี้ไปจุดเดียวคือ เงินเฟ้อ ผมว่าขอนแก่นยังไม่เหมาะแก่การลงทุน หากยังดันทุลังก็ไปดูลาวนะครับ คนแห่กันไปมากมาย ประชากรแค่ 10 ล้านคน? โครงการอสังหาริมทรัพย์นับหมื่นโครงการ? หรือจะเป็นพม่าแห่กันเข้าไปนักเงินเฟ้อไป 9% ผมคงจะไม่พูดมากเพราะไม่ได้ศึกษาอย่างแท้จริง แต่มันก็เห็นได้ด้วยเงินเฟ้อนี่แหละครับ ถ้าอยู่ในตลาดหุ้นนานคงจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหุ้นขายฝัน ใช้แล้วครับระบบเศรษฐกิจกับระบบหุ้นเหมือนกันเลย ปั่นด้วยข่าว ด้วยความหวัง คนเริ่มแห่กันเข้ามาเกร็งกำไร สุดท้ายไอ้ตัวแรกที่เข้าไปซื้อไว้ก่อนเพื่อนก็เทขายตอนราคามันโดนดัน แล้วไงต่อ? ตัวใหญ่ๆที่มีเงินเยอะๆมันมีอำนาจมากทั้งข่าว ทั้งเงิน มากจนผมเคยเขียนไปแล้วในบทความ เพราะอย่างนั้นถึงได้น่าสนุก มันสั่งได้ดังใจว่าจะให้ราคาขึ้นหรือลง พอมันเทขายสินทรัพย์แล้วเกิดอะไรขึ้นหละกลายเป็นว่ามีแต่ตัวเล็กๆคือพวกเรานี่แหละเข้าไปรับของเต็มไปหมด แน่นอนครับมากคนมากความ คุณเคยสังเกตมั๊ยหลังจากไอ้พวกตัวใหญ่ๆออกแล้วไม่รู้ข่าวร้ายมาจากไหนเต็มไปหมด แล้วไม่นานราคาก็ดิ่งเพราะมันเป็นฟองสบู่ไงหละ (เงินเฟ้อ) แต่มีข้อยกเว้นคือถ้าตัวที่เข้าไปรับทีหลังเป็นรายใหญ่เหมือนกัน ก็จะมีแรงซื้อกลับ ดันข่าวกลับและพยุงราคาไม่ให้ลงต่อได้ ดังนั้นมุมมองของผมคิดว่าเชียงใหม่ดีกว่ามากครับ

ก่อนจบมาอัพเดทตลาดหุ้นกันดีกว่าเพราะบทความที่แล้ว (คลิกที่นี่)ตลาดหุ้นที่ผมโพสลงมันกระโดดจนเกิด Gap เลยทีเดียวและผมก็เตือนแล้วว่ามันเป็นสัญญาณผิดปกติ น่ากลัว มาวันนี้ถัดมานิดหน่อยตลาดหุ้นเราก็


อย่างที่เห็นครับร่วงกระจุย ตายกันเป็นแทบๆ แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าพรุ่งนี้มันจะลงต่อไปมั๊ย 555 ผมไม่ใช่เทพเจ้า หากให้มองด้วยมุมมองส่วนตัวก็ยืนยันตามเดิมอย่างที่เคยเขียนๆไปตั้งแต่บทความแรกว่าระยะยาวมันลงแน่ครับ ลงหนักด้วย แต่ไม่รู้เมื่อไหร่? ถ้าถามถึงระยะสั้นโอกาสลงต่อมีสูงครับเพราะรายย่อยผู้มีจิตใจบอบบางจะต้องเทขายหุ้นกันแน่ (Panic) โอกาสรอดเดียวคือมีรายใหญ่มารับ แต่. . .รายใหญ่ก็ต้องขายเพื่อทำกำไรและเตรียมตัวไปเล่นประเด็น Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งถ้าขึ้นดอกเบี้ยเงินไหลออกแน่นอน และมันขึ้นอยู่แล้วหละ (ไว้ว่างๆจะมาเล่าว่าทำไมมันถึงต้องขึ้นดอกเบี้ย) ดังนั้นตัวใหญ่ไม่มารับหรอกนะ 555 ก็แค่มุมมองกากๆของผม อ่านแล้วใช้วิญญาณตัดสนด้วย O_o แต่กว่าท่านจะได้อ่านบทความนี้คงรู้คำตอบกันอยู่แล้วหละ เพราะผมยังไม่พร้อมเปิดสาธารณะให้คนอื่นอ่าน 555 อย่าไปเครียดมากครับทำชีวิตให้สนุก

จะจบๆ ก็ยังไม่จบสักที 555 ผมแถมข่าวเพิ่มเติมเข้ามานะครับ

1. ว่างงาน..อันตราย



ค่อนข้างตกใจที่สภาพัฒน์แถลงสถานการณ์แรงงานในไตรมาส 2 ปีนี้ว่าอัตราการว่างงานเพิ่มเป็น 411,124 คน หรือเพิ่ม 23.23% ภาคเกษตรว่างงาน 6.2% ส่วนภาคอุตสาหกรรมว่างงานเป็นไตรมาส 3 ติดต่อกัน ต่างจาก ที่ผ่านมามักจะมีรายงานว่าอัตราการว่างงานบ้านเราค่อนข้างต่ำ จนน่าแปลกใจ เพิ่งจะครั้งนี้ที่ตัวเลขการว่างงานพุ่งสูงขนาดนี้ เหตุผลที่สภาพัฒน์แจกแจงไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว ส่งออกติดลบต่อเนื่อง

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.yaklai.com/

2. อึ้ง! พาณิชย์แจ้งแก้ตัวเลขส่งออกก.ค.ทรุด4.4% ที่จริงคือ 6.4% ตลอด7เดือนลบ2.3%



     การส่งออกไทยเดือนก.ค.2559 มีมูลค่า 17,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือติดลบ 6.41% จากเดิมที่แถลงว่าติดลบ 4.4% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 16,202 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบ -7.2% เกินดุล 843 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ มีมูลค่าการส่งออกรวม 122,183 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบ 2.3% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่ารวม 108,926 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบ 9.8% และยังเกินดุลการค้ารวม 13,257 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ ราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับต่ำ และผลผลิตภาคเกษตรที่หดตัวระดับสูง จากสภาพอากาศที่แปรปรวน
     สำหรับการส่งออกไปยังตลาดสำคัญในภาพรวมยังหดตัว โดยตลาดหลักติดลบ 6.4% อาทิ สหภาพยุโรป ติดลบ 11.7% ญี่ปุ่นติดลบ 8.5% ตลาดศักยภาพสูงหดตัว 8.6% ตลาดศักยภาพรองหดตัว 16.2% ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการค้า ที่ทำให้การค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปกลุ่มอาเซียน อาทิ พม่า เพิ่มขึ้น 11.6% อินโดนีเซีย 10.8% และบรูไน 2.3% ส่งออกไปทวีปออสเตรเลียขยายตัว 4.2% ทำให้ภาพรวม 7 เดือน ตลาดฟิลิปปินส์ขยายตัว 12.3% ออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 8.1% เมียนมาเพิ่มขึ้น 2.2% อินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 2.1% และเวียดนามเพิ่มขึ้น 0.4% ขณะที่ตลาดอื่นๆ ยังติดลบ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.matichon.co.th/


Kingveggie

I'm a Dreamer who try something new. Such as write this Blog. ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น