ห่างหายไปนานเพราะงานเยอะ วันนี้มาแวะอัพเดทข้อมูลเพราะปล่อยไว้จะเป็นดินพอกหางหมู มันจะเยอะเกินจนเขียนไม่ทัน 555 อย่างที่บอกไปใน 2 ตอนแรก (ตอนที่1 และ2) ว่ามุมมองของผมต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยค่อนไปในทางที่ไม่ดี งั้นวันนี้มาเริ่มต้นกันด้วยตลาดหุ้นก่อนเลย
หลังจากที่มองว่ามันต้องลง ปรากฎว่ามันลงแรงมากและไม่นานก็ตีกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เป็นผลมาจากท่าทีการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เนื่องด้วยความเสี่ยงที่อาจตามมาเป็นผลให้นักลงทุนจำต้องดึงเงินออก (กำไร) เพื่อลดขนาดของความเสี่ยงและเตรียมย้ายเงินเข้าสู่อเมริกา แต่ผลออกมาว่า Fed ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมที่ประมาณ 0.5% ทำให้เงินไหลกลับเข้ามาในประเทศเพราะบ้านเรายังให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะระยะยาวยังไงเค้าก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจบ้านเค้า ดังนั้นถ้ามุมมองต่อตลาดหุ้นผมยังมองเหมือนเดิมคือยังน่ากลัว ผมก็ถือเงินสดและรอให้มันล้ม ถ้าล้มจริงๆค่อยเข้าเก็บตัวถูกๆแต่ถ้าไม่ล้มผมก็ไม่ได้เสียหายอะไร. . .
คราวนี้มาดูกันต่อว่าสัญญาณความอืดของเศรษฐกิจบ้านเรามันอยู่ที่ระดับไหนกัน เพราะอย่างที่เคยพูดไปครับ ตลาดหุ้นไม่ใช่ตัวชีวัดเศรษฐกิจของประเทศ หากอยากดูเศรษฐกิจจริงๆง่ายมากครับ ดูการใช้ชีวิตประจำวันก็เพียงพอแล้ว มันสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จากตอนที่ 2 ที่ผมมีโอกาสได้ไปดูตลาดแถวขอนแก่น ท่านก็คงจะเห็นมุมที่น่าสนใจที่ผมได้นำเสนอไป วันนี้ผมเอาข่าวมาฝาก
1. หนี้ต่อหัว-หนี้คงค้างพุ่ง ภาคอีสานแชมป์กู้เพิ่ม ส่วนกรุงเทพฯ-ภาคใต้ค้างชำระมากสุด
ข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2559 พบว่ามียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 15.8 ล้านล้านบาท และมีจำนวนผู้กู้กว่า 16.3 ล้านบัญชี โดยหนี้ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่กับผู้ที่เข้าถึงสินเชื่อสัดส่วน 10% แรก เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีหนี้กว่า 61.2% ของหนี้รวมทั้งหมด และคนที่เป็นหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และอำเภอเมืองจังหวัดต่างๆ เป็นหลัก
สำหรับการเข้าถึงสินเชื่อปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 24% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่การเข้าถึงสินเชื่ออยู่ที่ 18% หนี้เฉลี่ยต่อหัวปัจจุบันอยู่ที่ 1.32 แสนบาท เพิ่มขึ้นกว่า 92% จากปี 2552 อยู่ที่ 6.91 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการเข้าถึงสินเชื่อของคนที่ไม่เคยเข้าถึงและคนที่เข้าถึงสินเชื่อมีการกู้มากขึ้น ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นกลุ่มคนที่มีหนี้อยู่แล้วและมีหนี้เพิ่มมากขึ้นมากที่สุด ทั้งนี้ ยังพบว่าคนอายุ 31 ปี กว่า 50% สามารถเข้าถึงสินเชื่อมากที่สุด ส่วนกลุ่มอายุ 35-60 ปี พบว่าเป็นกลุ่มที่มีปริมาณหนี้สูง สะท้อนว่าทำไมคนที่กำลังจะเกษียณแต่ยังมีหนี้สูง ขณะที่กลุ่มคนอายุหลังเกษียณ 70-80 ปีก็ยังมีหนี้ทรงตัวในระดับสูงจากก่อนเกษียณ ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะมีรายได้ส่วนไหนในอนาคตมาชำระคืนหนี้
นายอธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นรวดเร็วในปี 2554 เป็นผลจากมาตรการรถยนต์คันแรก ทำให้คนที่กู้อยู่แล้วกู้มากขึ้น และทำให้คนที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อมีการกู้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุ 25-35 ปี (ส่วนนี้ผมเสริมเข้าไปนิดหนึ่งนะว่าค่อนข้างจะมองว่าไอ้รถคันแรกเป็นปัญหา แต่ความจริงแล้วปัญหามันอยู่ที่ตัวผู้กู้นะครับ มันอยู่ที่การบริหารเงิน และความไม่มีวินัยของผู้กู้เป็นสำคัญ ดังนั้นจากข่าวค่อนข้างโทษแต่โครงการรถคันแรกอย่างเดียวตั้งแต่อ่านบรรทัดแรก ส่วนนี้ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ควรใช่คำว่าการกู้มาซื้อรถคันแรกนั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของปัญหามิใช่ต้นต่อของปัญหา แต่เค้าก็เขียนต่อท้ายนิดหน่อยกันผมด่าว่า ไม่เฉพาะการผิดนัดชำระหนี้ ไม่เฉพาะหนี้รถเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตด้วย ขอโทษทีหากผมอ่านแล้วรู้สึกว่าผู้เขียนข่าวมีอคติกับโครงการรถคันแรกมากเกินไป หากผิดพลาดประการใดก็ชี้แจงผมได้นะ)
“การให้แรงจูงใจซื้อสินค้าคงทนมีผลโดยตรงต่อจีดีพี แต่มีผลกระทบทางลบกับผู้กู้อย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มการชำระหนี้ลดลงและมีการก่อหนี้ใหม่” นายอธิภัทรกล่าว
2. หนี้ครัวเรือน”…วิกฤตแล้ว
ม.หอการค้าไทยได้แถลงตัวเลข “หนี้ครัวเรือน” ปี 2559 พบว่ามูลค่าหนี้เฉลี่ย 2.48 แสนบาทต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20.2% นับเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปี ขณะที่ “หนี้นอกระบบ” ลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปีจากเดิม 51.3% เหลือ 37.7% แต่อย่าได้แปลกใจหนี้นอกระบบลดลงเพราะรัฐบาลมีนโยบาย “ไมโครไฟแนนซ์” แปลงหนี้นอกระบบเอาเข้ามาอยู่ในระบบตัวเลขหนี้นอกระบบลดแต่มาโป่งที่หนี้ครัวเรือน
. . . . . น่าสนใจ คนไทย 24% มีหนี้ครัวเรือนเฉลี่ย 544,074 บาท . . . . .
สอดคล้องกับงานวิจัย “ดร.โสมรัศมิ์ จันทรรัตน์” หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า จนถึงมี.ค.ปีนี้คนไทยมีหนี้ครัวเรือนรวม 8.7 ล้าน ล้านบาท จำนวนคนกู้ยืม 16.05 ล้านคน หรือ 24% ประชากรทั้งประเทศ หากดูการกระจุกตัวยิ่งน่าตกใจ ปรากฏว่าผู้มีหนี้ 10% แรก มีหนี้มากถึง 61.2% ของหนี้ครัวเรือนทั้งระบบส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในกทม.และปริมณฑล อย่างไรก็ตาม มูลหนี้ ครัวเรือนต่อผู้มีหนี้สูงสุดกลับไปอยู่ที่ภาคอีสานและหากคิดช่วงอายุจะเห็นว่าจะอยู่ระหว่าง 35-60 ปี มูลหนี้เฉลี่ย 20,000 บาท ต่อช่วงอายุ
จนถึงวันนี้ใครได้เห็นตัวเลขแล้วอย่าได้มองข้ามปัญหา “หนี้ครัวเรือน” โดยเด็ดขาด เพราะกำลังจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดและจะกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่ต้องใช้เวลานานในการ ถอดสลักถ้าไม่เร่งแก้ด่วน หก็อาจสายเกินไป
3. หลอนกำลังซื้อในประเทศแป๊ก-ค่าบาทอ่อน กดดัชนีความเชื่อมั่นอุตฯวูบ 3 เดือนติด
นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย ประจำเดือนสิงหาคม 2559 ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของส.อ.ท. พบว่าอยู่ที่ระดับ 83.3 ปรับตัวลดลงจากระดับ 84.7 ในเดือนกรกฎาคม และปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยปัจจัยที่ส่งผลลบต่อค่าดัชนีฯส่วนใหญ่เกิดจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ปัญหาการเตรียมปรับค่าจ้างแรงงาน และผู้ประกอบการยังได้รับผลกระทบจากการที่ประเทศจีนออกมาตรการให้สินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยต้องดำเนินการพ่นสารเคมีกำจัดยุงในตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร
"คาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 101.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 100.7 เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐยังเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวด้วยการผลิตที่เพิ่มมูลค่าและนวัตกรรมเพื่อยกระดับในการแข่งขัน” นายเจนกล่าว
นายเจนกล่าวว่า ส.อ.ท.กำลังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีโอกาสที่จะคงดอกเบี้ยหรือปรับขึ้นดอกเบี้ย และหากปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจจะส่งผลดีต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลงเล็กน้อย และส่งผลดีต่อการแข่งขันและการส่งออกกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค
อ่านข่าวพวกนี้แล้วน่าตกใจนะที่ผมตกใจมากที่สุดคืออะไรรู้มั๊ย คือผู้สูงอายุไง ประเทศไทยเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในขณะที่ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ก็น้อยลง
กราฟแสดงสถิติช่วงอายุของประชากรของประเทศไทย ปี 2557
จะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุมาขึ้นเรื่อยๆแต่ปัญหาหนี้สินยังคงอยู่จากข่าวแรกที่ว่า "คนที่กำลังจะเกษียณแต่ยังมีหนี้สูง ขณะที่กลุ่มคนอายุหลังเกษียณ 70-80 ปีก็ยังมีหนี้ทรงตัวในระดับสูงจากก่อนเกษียณ" อ่านแล้วหมดหวังมากเพราะหลายๆคนมองธุรกิจเกี่ยวกับผู้สูงอายุไว้เป็นที่เรียบร้อย บ้างก็แห่กันไปทำ บ้างก็ยังคงวางแผน ผมว่าอาจจะเป็นกลุ่มที่ไร้กำลังซื้อมากที่สุดก็ได้นะเพราะงานก็ไม่มี แต่หนี้ยังต้องจ่าย เลยสะท้อนให้เห็นถึงการจับจ่ายที่ลดลงจนเราๆก็สามารถสัมผัสได้ไม่ยาก โรงงานทยอยปิดไปแล้วมากมาย หรือเริ่มบีบคนงานออกดังจะเห็นข่าวที่ลงไว้ในบทความก่อนๆ ในบทความนี้ก็มีข่าวมาบอกเช่นกัน
4. พนักงานกว่า 600 คน ปิดโรงงานประท้วง ถูกนายจ้างหมกเม็ดบีบให้ออก และไม่ยอมจ่ายโบนัส
บริษัทยาโน่ อีเล็กโทนิค หมู่ 1 ต. ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว พบพนักงานกว่า 600 คน ถือป้ายชุมนุมเรียกร้อง และมีการปราศรัยโจมตีผู้บริหารของบริษัท ว่ามีการหมกเม็ดเพื่อที่จะบีบพนักงานออกและจะไม่ยอมจ่ายโบนัสของปีนี้
อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.khaosod.co.th/
5. สหรัฐตีกลับสินค้าไทยพุ่ง54%
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) ได้เผยแพร่รายงาน Import Refusal Report เรื่องการปฏิเสธการนำเข้าสินค้าจากไทยในช่วงเดือน มิ.ย. 2559 โดยตรวจพบว่ามีสินค้าจากไทยที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่เป็นไปตามข้อตกลง 37 ครั้ง เพิ่มขึ้น 54.17% เทียบกับการตรวจพบในเดือน พ.ค. 2559 ที่มีการตรวจพบสินค้าจากไทยไม่ได้มาตรฐานและไม่เป็นไปตามข้อตกลง 13 ครั้ง และประกาศปฏิเสธการนำเข้าสินค้าที่ส่งออกจากผู้ประกอบการไทยรวม 27 ราย เพิ่มขึ้น 51.85% เทียบกับผู้ประกอบการไทยที่ถูกปฏิเสธในเดือน พ.ค. 2559 จำนวน 14 ราย
อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.posttoday.com/biz/gov/453877
6. เกษตร 4.0 จ่อหงอยคนหนีนาเข้ากรุง
ที่มา http://www.thairath.co.th/content/729114
มาตอนนี้ดูมืดมนไปหมดเลยนะ ผมว่าน่าปวดหัวจริงๆ การส่งออกก็ติดลบ 6.14% สินค้าโดนตีคืนก็มาก การปิดกิจการและลดจำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้น หนี้ครัวเรือนที่สูง NPL (หนี้สูญ) ก็เพิ่มขึ้นทั้งลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย ตัวเลขตกงานพุ่ง บัญฑิตจบใหม่ก็ตกงานเป็นแสนๆคน ภาคการเกษตรก็แย่เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงต่ำไปซะหมด เว้นแต่น้ำตาลที่ตอนนี้ปรับตัวขึ้นสูงอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ในบทความวิเคราะห์สักอันนี้แหละ (อยากรู้ไปหาอ่านเอา) เด็กจบใหม่ก็หนีเข้าเมืองงานหนักไม่ทำเลยตกงานกันเป็นแทบๆทั้งๆที่ควรจะเน้นหนักด้านนี้เพราะจัดเป็นรายได้หลักของประเทศเช่นกัน แถมเงินทุนมีโอกาสไหลออกได้ตลอดเวลาและมันไปแน่นอนในระยะยาว เหลือทางเดียวคือการท่องเที่ยวต้องดูว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวต่างชาติได้มากแค่ไหนจากการมาท่องเที่ยวช่วงสิ้นปีนี้ อีกทางก็คือการอัดเม็ดเงินลงระบบโดยตรงเลยซึ่งก็ไม่พ้นจากการกู้ยืมนั้นเอง หากทำเช่นนั้นก็น่าจะทรงๆหรือดีขึ้นในระดับหนึ่งแต่ระยะยาวก็ต้องใช้หนี้คืนอยู่ดี ดังนั้นการกู้เพิ่มจึงเป็นทางเลือกที่แย่ในความคิดของผม ผมว่าการเพิ่มขีดความสามารถในการค้า (Productivity) ที่แท้จริงให้ประเทศ อย่างเเรกคือการหางานให้คนทำ อาจจะกลับไปส่งเสริมฟื้นฟูโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ด้านการท่องเที่ยวก็จัดเป็นจุดแข็งของเราควรกระตุ้นในลมหายใจสุดท้ายคือสิ้นปีนี้และต้นปีหน้า ส่วนการดึงดูดนักลงทุนและการส่งออกนั้นผมมองว่ายากเพราะปัญหาเรื่องความสงบและความน่าเชื่อถือของรฐบาล อีกทั้งความผันผวนและการแข็งค่าของเงินบาททำให้ด้านนี้โดนปัญหาหนัก การเลือกจะกู้เพิ่มเป็นส่วนที่ดีแต่ต้องทำด้วยความรอบคอบว่าจะสามารถสร้างผลกำไรหรือเกิดการหมุนของรอบเงินในระบบให้ได้ประโยชน์สูงสุด
สุดท้ายนี้ผมยังคงมุมมองทางเศรษฐกิจของไทยเหมือนเดิมครับไม่ช้าไม่นานมันจะเข้าสู่วัฎจักรขาลง ตามรอบของหนี้สิน การแก้ปัญหาที่แท้จริงก็ไม่พ้นเรื่องปากท้องหรอกครับ หากท้องไม่อิ่มงานไม่มี หนี้ก็ไม่จ่าย นานเข้าก็ลุกลามอาจเป็นแบบเวเนซุเอล่าได้ หวังว่าจะไม่เกิดเงินเฟ้อร้ายแรงแบบนั้นในอนาคตนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น