เขาย้ำแนวทางว่า "ไม่ใช่การที่รัฐบาลครองโลก แต่ให้เคารพพลเมืองของตน และต้อนรับชาวต่างประเทศ ดังนั้นแล้วสันติภาพระหว่างประเทศก็จะเกิดขึ้น"
ต้นศตวรรษที่ 18 เกิดสงครามในฝรั่งเศสนำโดย นโปเลียน โบนาปาร์ต หนึ่งในสามผู้นำของคณะกงสุลฝรั่งเศสได้ทำการปฏิวัติฝรั่งเศส ช่วง ค.ศ. 1789 - 1799
และได้เริ่มการทำสงครามมากมายในยุโรปจากนโยบายการต่างประเทศของจักรพรรดินโปเลียน ที่มุ่งเน้นจะยึดครองทวีปยุโรปไว้กับฝรั่งเศสแต่เพียงผู้เดียว ทำให้เกิด "สงครามนโปเลียน" ราว ค.ศ. 1803 และสิ้นสุดลงค.ศ. 1815 เพราะได้รับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการรุกรานรัสเซียใน ค.ศ. 1812 ความพ่ายแพ้ของนโปเลียนนั้นเป็นผลให้มีการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงขึ้นครองฝรั่งเศสอีกครั้งด้วยการช่วยเหลือของพันธมิตรของชาติมหาอำนาจในยุโรปได้แก่ ออสเตรีย, ปรัสเซีย, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร, โปรตุเกส, สวีเดน, สเปน และรัฐเยอรมันอีกหลายๆรัฐ จะเห็นได้ว่ามนุษย์นั้นนิยมในอำนาจไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนก็ตาม (นี่ขนาดนโปเลียนพยายามที่จะเปลี่ยนให้ทุกคนเท่าเทียมยังถูกพวกอำนาจเก่าและผู้เสียผลประโยชน์ช่วยกันนำอำนาจกลับคืนตามเดิม) จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 19 ได้เกิดความขัดแย้งกันของประเทศในแถบยุโรปอันนำมาซึ่ง "มหาสงครามโลกครั้งที่ 1" ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
เกิดการแบ่งประเทศมหาอำนาจเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายสัมพันธมิตร นำโดย 3 ไตรภาคี คือ อังกฤษ ,ฝรั่งเศส และรัสเซีย อีกฝ่ายคือ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง นำโดย 3 ไตรพันธมิตร คือ เยอรมนี ,ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี สงครามโลกครั้งที่หนึ่งนับว่าเป็นความขัดแย้งวงกว้างภายในทวีปยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงคราม
นโปเลียน สาเหตุของสงครามนั้นมีหลายปัจจัยเช่น นโยบายต่างประเทศแบบจักรวรรดินิยมของมหาอำนาจยุโรปทั้งหลาย แต่ชนวนเหตุสำคัญคือการที่ กัฟรีโล ปรินซีป นักชาตินิยมยูโกสลาฟ ทำการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและโซฟี ดัชเชสแห่งโฮเฮนเบิร์กพระชายา เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914
นโปเลียน สาเหตุของสงครามนั้นมีหลายปัจจัยเช่น นโยบายต่างประเทศแบบจักรวรรดินิยมของมหาอำนาจยุโรปทั้งหลาย แต่ชนวนเหตุสำคัญคือการที่ กัฟรีโล ปรินซีป นักชาตินิยมยูโกสลาฟ ทำการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและโซฟี ดัชเชสแห่งโฮเฮนเบิร์กพระชายา เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914
อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ,โซฟี ดัชเชส และกัฟรีโล ปรินซีป ตามลำดับ
ออสเตรีย-ฮังการีจึงยื่นคำขาดฮับสบูร์กต่อราชอาณาจักรเซอร์เบีย นำมาซึ่งสงครามในวันที่ 28 กรกฎาคม 1914 พันธมิตรทั้งหลายซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อหลายทศวรรษก่อนถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ มหาอำนาจทั้งหลายจึงอยู่ในภาวะสงคราม และความขัดแย้งลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วผ่านอาณานิคมต่างๆ เมื่อสงครามยุติ รัฐจักรวรรดิใหญ่สี่รัฐ อันได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี รัสเซีย และออตโตมัน พ่ายแพ้ทั้งทางการเมืองและทางทหารได้สิ้นสภาพไป เยอรมนีและรัสเซียสูญเสียดินแดนไปมหาศาล ส่วนอีกสองรัฐที่เหลือนั้นล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง แผนที่ยุโรปกลางได้ถูกเขียนใหม่โดยมีประเทศขนาดเล็กเกิดใหม่หลายประเทศ
ในปีถัดมาคือ 1919 ได้เกิดการประชุมสันติภาพที่ปารีส เป็นการประชุมของฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 นำโดย 3 ประเทศใหญ่คือ อเมริกา ,ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร จัดขึ้นที่กรุงปารีส มีทูตกว่า 32 ประเทศเดินทางเข้าร่วมทำให้เกิด 2 สิ่งคือ สนธิสัญญาแวร์ซาย และ สันนิบาตชาติ
สนธิสัญญาแวร์ซาย
- ได้กำหนดให้จักรวรรดิเยอรมันต้องยินยอมรับผิดในฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว
- เยอรมนีถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน
- ต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายไตรภาคีเป็นจำนวนมหาศาล
มูลค่าของค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจะต้องจ่ายนั้นสูงถึง 132,000 ล้านมาร์ก (ราว 31,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 6,600 ล้านปอนด์) อันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าจะยอมรับได้และไม่สร้างสรรค์ และเยอรมนีอาจต้องใช้เวลาชำระหนี้จนถึง ค.ศ. 1988 การชำระค่าปฏิกรรมสงครามนัดสุดท้ายมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2010 วันครบรอบยี่สิบปีการรวมประเทศเยอรมนี และเก้าสิบสองปีพอดีหลังสงครามยุติ
เยอรมันนั้นไม่พอใจกับอนุสัญญานี้แต่ก็มิได้มีทางเลือกอื่นเลย ประชาชนเยอรมันไม่ให้การสนับสนุนสนธิสัญญานี้ และชาวยิวก็เป็นพวกที่ถูกโทษเป็นส่วนใหญ่ว่าสนับสนุนสนธิสัญญาแวร์ซาย นั้นทำให้คะแนนนิยมในพรรคนาซีรุ่งเรืองส่งผลให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
เยอรมันนั้นไม่พอใจกับอนุสัญญานี้แต่ก็มิได้มีทางเลือกอื่นเลย ประชาชนเยอรมันไม่ให้การสนับสนุนสนธิสัญญานี้ และชาวยิวก็เป็นพวกที่ถูกโทษเป็นส่วนใหญ่ว่าสนับสนุนสนธิสัญญาแวร์ซาย นั้นทำให้คะแนนนิยมในพรรคนาซีรุ่งเรืองส่งผลให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
Adolf Hitler และ Ferdinand Foch ตามลำดับ
ขึ้นมามีอำนาจในเยอรมันนีช่วงหลายปีหลังจากนั้น ในตอนที่ลงนามมีคนเชื่อว่าสนธิสัญญานี้ไม่อาจทำให้เยอรมันสงบ หรืออ่อนแอลงได้อย่างถาวร และจะนำมาซึ่งความขัดแย้งอื่นๆในอนาคต Ferdinand Foch ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของฝรั่งเศสได้กล่าวประโยคที่โด่งดังเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "this is not peace, it is an armistice for 20 years" หรือ นี่ไม่ใช่สันติภาพ แต่เป็นสัญญาพักรบที่มีอายุ 20 ปีเท่านั้น และแน่นอนหลังจากนั้น 20 ปีมหาสงครามครั้งใหม่ก็ปะทุขึ้น
สันนิบาตชาติ หรือ League of Nations
- เพื่อป้องกันสงครามและความขัดแย้งในอนาคต
- ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยการเจรจาและการทูต
- พัฒนาความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น สิทธิแรงงาน ทาส ยาเสพติด การค้าอาวุธ
- นับเป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การแรกที่มีภารกิจในด้านนี้
อย่างไรก็ดีเนื่องจากสันนิบาตไม่มีกองกำลังของตัวเอง จึงต้องพึ่งพาชาติมหาอำนาจในการดำเนินการตามคำสั่ง สันนิบาตชาติจึงล้มเหลวในการป้องกันสงครามโลกครั้งที่สอง และเมื่อสงครามจบถูกยุบไปและแทนที่ด้วยสหประชาชาติกระทั่งปัจจุบัน
(บุคคลที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งคือ ประธานธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ของอเมริกา)
ต่อมาไม่นานก็เกิด "มหาสงครามโลกครั้งที่ 2" ในปี ค.ศ.1939 ถึง 1945
โลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายอีกครั้งคือ ฝ่ายสัมพันธมิตร ประกอบด้วยฝรั่งเศส โปแลนด์ สหราชอาณาจักร ชาติเครือจักรภพอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหภาพแอฟริกาใต้ และ ฝ่ายอักษะ ประกอบด้วยสามประเทศหลัก คือ นาซีเยอรมนี อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น มีการระดมทหารกว่า 100 ล้านนาย ด้วยลักษณะของ "สงครามเบ็ดเสร็จ" กล่าวคือทุ่มทุกอย่างที่มี ทั้งเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ ประเมินกันว่าสงครามมีมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยประการทั้งปวงสงครามโลกครั้งที่สองจึงนับว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่สุด ใช้เงินทุนมากที่สุด และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 40 ถึงมากกว่า 70 ล้านคน ฉนวนเหตุเกิดจากการที่เยอรมนีและรัฐบริวารสโลวาเกียบุกครองโปแลนด์ วันที่ 3 กันยายน 1939 ทำให้ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับเยอรมนี ตามมาด้วยบรรดาประเทศในเครือจักรภพแห่งชาติ ภายในหนึ่งปี เยอรมนีก็มีชัยเหนือยุโรปตะวันตกเกือบทั้งหมด คงเหลือเพียงสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพที่ยังเป็นกำลังหลักที่ยังต่อกรกับเยอรมนีทั้งที่เกาะบริเตน แอฟริกาเหนือ และกลางแอตแลนติก
การรุกคืบของฝ่ายอักษะยุติลงใน ค.ศ. 1942 หลังความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในยุทธนาวีมิดเวย์ และหลังความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะยุโรปในอียิปต์และที่สตาลินกราด ใน ค.ศ. 1943 จากความปราชัยของเยอรมนีที่เคิสก์ในยุโรปตะวันออก การบุกครองอิตาลีของฝ่ายสัมพันธมิตร ตลอดจนถึงชัยชนะของสหรัฐอเมริกาในแปซิฟิกได้ทำลายการริเริ่มและส่งผลทำให้ฝ่ายอักษะล่าถอยทางยุทธศาสตร์ในทุกแนวรบ ใน ค.ศ. 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรเปิดแนวรบใหม่ในฝรั่งเศส เช่นเดียวกับสหภาพโซเวียตที่ยึดดินแดนคืนและบุกครองเยอรมนีและพันธมิตร สงครามในยุโรปยุติลงหลังกองทัพแดงยึดกรุงเบอร์ลินได้ และการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 แม้จะถูกโดดเดี่ยวและตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นยังปฏิเสธที่จะยอมจำนน กระทั่งมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สองลูกถล่มญี่ปุ่น และการบุกครองแมนจูเรีย จึงได้นำไปสู่การยอมจำนนอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 หลังสิ้นสุดสงครามทำให้สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตก้าวเป็นอภิมหาอำนาจของโลกอันเป็นคู่ปรปักษ์กัน นำไปสู่ความขัดแย้งบนเวทีแห่งสงครามเย็น ซึ่งได้ดำเนินต่อมาอีก 46 ปีหลังสงคราม และเกิดสหประชาชาติ
สหประชาชาติ หรือ United Nations [UN]
สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ความร่วมมือในกฎหมายระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระบวนการทางสังคม สิทธิมนุษยชน และการบรรลุสันติภาพโลก โดยความร่วมมือของนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ คือ นายวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) และประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา คือ นายแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt)
- แทนที่สันนิบาตชาติ
- เพื่อยุติสงครามระหว่างประเทศ
- เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจา
- เป็นแกนกลางในการนำสันติภาพอันถาวรมาสู่โลก
- เพื่อสร้างดุลแห่งการพึ่งพาอาศัยกัน
- เพื่อแก้ไขปัญหาอาณานิคม
- เพื่อพัฒนาสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ
ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ (ประเทศไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 นับเป็นสมาชิกสหประชาชาติอันดับที่ 55) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ กรุงนิวยอร์ก (New York) ประเทศสหรัฐอเมริกา (The United State of America) เลขาธิการแห่งสหประชาชาติคนปัจจุบันคือ นายบัน คี มุน ชาวเกาหลีใต้ (เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 ต่อจากนายโคฟี่ อันนัม)
องค์การสหประชาชาติประกอบด้วย องค์การหลัก 6 องค์กร ได้แก่
1. สมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (General Assembly)
- เป็นที่ประชุมซึ่งรัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมดประชุมกันเป็นประจำในสมัยประชุมประจำปี
2. คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council)
- ระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยใช้กำลังทหารได้
- รักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
- สอบสวนกรณีพิพาทหรือสาเหตุอันอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันได้
3. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council)
- ประสานงานให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และมนุษยธรรม
4. คณะมนตรีภาวะทรัสตี (Trusteeship Council)
- ให้คำปรึกษาและดูแลการบริหารงานดินแดนที่อยู่ในภาวะทรัสตี
5. สำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติ (The Secretariat)
- มีหน้าที่ควบคุมดูแลการบริหารและธุรการขององค์กรต่าง ๆ ในองค์การสหประชาชาติ
6. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
- พิจารณาพิพากษาคดีพิพาททางกฎหมายระหว่างประเทศ และให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานอื่น ๆ
นอกจาก 6 องค์กรหลักข้างต้นแล้วสหประชาชาติยังมีองค์กรย่อยที่ทำหน้าที่หลากหลายอีกถึง 17 องค์กรด้วยกัน เช่น WHO (องค์การอนามัยโลก) ,FAO (องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ) ,UNESCO (องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) และ WB (เครือธนาคารโลก) เป็ฯต้น
ในปี ค.ศ. 1949 ได้เกิด 2 สิ่งเพื่อต้องการป้องกันสงครามขึ้น นั้นคือ อนุสัญญาเจนีวา และ องการ NATO
อนุสัญญาเจนีวา
อนุสัญญาเจนีวา เกิดช่วง ค.ศ. 1949 คือสนธิสัญญาสี่ฉบับ และพิธีสารสามฉบับที่วางมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้เป็นเหยื่อของสงครามอย่างมีมนุษยธรรม- ให้คำปรึกษาและดูแลการบริหารงานดินแดนที่อยู่ในภาวะทรัสตี
5. สำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติ (The Secretariat)
- มีหน้าที่ควบคุมดูแลการบริหารและธุรการขององค์กรต่าง ๆ ในองค์การสหประชาชาติ
6. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
- พิจารณาพิพากษาคดีพิพาททางกฎหมายระหว่างประเทศ และให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานอื่น ๆ
นอกจาก 6 องค์กรหลักข้างต้นแล้วสหประชาชาติยังมีองค์กรย่อยที่ทำหน้าที่หลากหลายอีกถึง 17 องค์กรด้วยกัน เช่น WHO (องค์การอนามัยโลก) ,FAO (องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ) ,UNESCO (องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) และ WB (เครือธนาคารโลก) เป็ฯต้น
ในปี ค.ศ. 1949 ได้เกิด 2 สิ่งเพื่อต้องการป้องกันสงครามขึ้น นั้นคือ อนุสัญญาเจนีวา และ องการ NATO
อนุสัญญาเจนีวา
เป็นอนุสัญญาฉบับแรก ซึ่งมีสาระสำคัญว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้บาดเจ็บจากสนามรบ และอนุสัญญาทั้ง 4 ฉบับมีสาระสำคัญโดยสังเขปดังนี้
อนุสัญญาฉบับที่ 1 ว่าด้วยการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วยในกองทัพที่อยู่ในสนามรบให้มี สภาพดีขึ้น
อนุสัญญาฉบับที่ 2 ว่าด้วยการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วยและลูกเรือที่อับปางของกอง กำลังรบในทะเล ให้มีสภาพดีขึ้น
อนุสัญญาฉบับที่ 3 ว่าด้วยการปฏิบัติต่อเชลยศึก
อนุสัญญาฉบับที่ 4 ว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองบุคคลพลเรือนในระหว่างสงคราม หรือการขัดแย้งทางกำลังทหารประเทศต่าง ๆ ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญานี้ ดังนี้
- การรักษาพยาบาล แก่เพื่อนและศัตรูโดยเท่าเทียมกัน
- เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เกียรติของมนุษย์ สิทธิในครอบครัว ในการนับถือศาสนาและเกียรติของสตรี
- ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ไปเยี่ยมนักโทษสงคราม และประชาชนที่อยู่ในค่ายกักกัน โดยพูดกับผู้ถูกกักขังอย่างไม่มีพยานร่วมรับรู้
- ห้ามการกระทำที่ไม่มีมนุษยธรรม การทรมาน การประหารชีวิต การเนรเทศ จับตัวประกัน สอบสวนหมู่การกระทำที่รุนแรงและทำลายทรัพย์สินส่วนตัวอย่างไม่ปรานี
(ประเทศไทยก็เป็นภาคีในสนธิสัญญาเจนีวาด้วย และ ได้ออกกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวาด้วย นั่นคือ พระราชบัญญัติ บังคับการให้เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก พ.ศ. 2498)
NATO [The North Atlantic Treaty Organization] หรือ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ
NATO ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 4 เมษายน ค.ศ. 1949 สมาชิกก่อตั้งประกอบด้วยประเทศเบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีสมาชิก 28 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
จุดประสงค์ของการก่อตั้ง
- เพื่อจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารในการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต)
- ให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในกรณีที่ประเทศสมาชิกถูกคุกคามจากภายนอก
- ส่งเสริมความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ศตวรรษก็ตามแต่สงครามไม่เคยจางหายไป ผมก็พึ่งจะมีโอกาสได้อ่านและค่อยๆเรียบเรียงเหตุการณ์อย่างคร่าวๆ ผมว่ามันตลกดีนะครับรบกันไปรบกันมา ตั้งองค์การนั้น ลงนามสัญญานี่ แต่สุดท้ายก็ยังเกิดสงครามอยู่ดี แต่นั้นทำให้มีทุกวันนี้ครับ เพราะเราต่างทราบถึงความโหดร้ายและน่ากลัวของสงคราม ไม่มีใครชื่นชอบและอยากให้มันเกิดจึงได้มีการพยายามก่อตั้งองค์กรต่างๆ หาข้อตกลง และการควบคุมด้านอาวุธ เพื่อลดโอกาสในการเกิดสงครามครั้งใหญ่ๆขึ้นแบบครั้งในอดีต มิใช่แค่นั้นยังพยายามส่งเสริม ดูแล และพัฒนาสังคมโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น หากผมขยันจะมาเขียนบทความเกี่ยวกับองค์กรย่อยๆใน UN เพิ่มเติมนะครับ แต่สำหรับบทความนี้ผมว่ามันชักจะเริ่มยาวเกินไปแล้วหละ คงต้องพักสายตาและหยุดเขียนเพียงแค่นี้ . . .ไว้เจอกันใหม่บทความหน้าครับ
ปล. หากท่านใดเห็นข้อผิดพลาดของข้อมูลรบกวนแจ้งผมเพื่อที่จะได้ทำการแก้ไขด้วยนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น