Always with Me

Minsky Moment


     เป็นทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์ ที่ว่าด้วยการถดถ้อยของราคาสินทรัพย์ โดยใช้เรียกสถานการณ์ที่ระดับหนี้ถึงจุดแตกหัก และทำให้ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว Minsky อธิบายว่า ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดี กระแสเงินสดของธุรกิจมีเพียงพอที่จะจ่ายหนี้ ยิ่งทำให้มีความต้องการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนเพิ่มเติม ฟองสบู่และการเก็งกำไรจะเริ่มพัฒนาขึ้น ธนาคารก็เริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอ กระแสเงินสดจะไม่พอจ่ายหนี้ ธนาคารก็เริ่มเข้มงวดกับการกู้ยืมเงิน ไม่ปล่อยหนี้เพิ่มแม้แต่กับบริษัทที่สามารถกู้ยืมเงินได้ ทำให้เศรษฐกิจหดตัวและนำไปสู่วิกฤตการเงินได้

การก่อหนี้ในมุมมองของ Minsky มีอยู่ 3 แบบคือ


1. Hedge finance หรือการกู้ยืมเงินแบบปลอดภัย ธุรกิจที่กู้ยืมเงินแบบนี้จะมีกระแสเงินสดเกินพอเมื่อเทียบกับภาระการจ่ายคืนหนี้ทุกระยะ และมีหนี้น้อยกว่ามูลค่าสินทรัพย์ (นั่นคือมีทุนเพียงพอ) ธุรกิจเหล่านี้จะมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างน้อย


2. Speculative finance หรือการกู้ยืมเงินแบบเก็งกำไร ธุรกิจที่กู้ยืมเงินแบบนี้อาจมี กำไรและมีสินทรัพย์เพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้ทั้งหมด แต่มีกระแสเงินสดไม่เพียงพอกับภาระการจ่ายคืนหนี้ในแต่ละช่วงเวลา แม้ว่ากระแสเงินสดจะเพียงพอต่อต้นทุนการกู้ยืมเงิน แต่อาจต้องพึ่งพาการ “rollover” หนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อจ่ายคืนเงินต้น การกู้ยืมเงินแบบนี้จึงอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย และสภาวะตลาด


3. “Ponzi” finance เป็นการกู้ยืมเงินแบบน่าเป็นห่วง กระแสเงินสดของธุรกิจหรือของผู้กู้ไม่เพียงพอแม้แต่การจ่ายคืนต้นทุนการกู้ยืมเงิน แต่เจ้าหนี้ยอมปล่อยกู้ให้ แม้ว่ามูลหนี้จะเพิ่มขึ้นไปตลอดระยะเวลาการกู้ เนื่องจากกระแสเงินสดมีไม่พอกับภาระการจ่ายคืนหนี้ เพราะเชื่อว่ามูลค่าของ สินทรัพย์ของผู้กู้จะเพิ่มขึ้นมากกว่ามูลหนี้ การกู้ยืมเงินแบบนี้มีความเสี่ยงต่อทั้งอัตราดอกเบี้ย (ที่จะเพิ่มภาระการจ่ายคืนหนี้) สภาวะตลาด และมูลค่าของสินทรัพย์ของผู้กู้

ซึ่งคำกล่าวนี้เริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงกันเร็วๆนี้เมื่อ Zhou Xiaochuan ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน ออกมาเตือนว่า การที่ภาวะหนี้ภาคเอกชนและหนี้ครัวเรือนของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจดีมากในช่วงที่ผ่านมา อาจนำไปสู่ Minsky moment จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้ นี่จึงเป็นความเสี่ยงที่ควรได้รับการป้องกัน


ที่มา


วิเคราะห์

            จากบทความที่อ่านมาพบว่ามีความกังวลในการเติบโตของจีน อันส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างก้าวกระโดด ผมเห็นความน่าสนใจกับวงจรของ Minsky ว่าปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระดับไหนแล้ว?

ตามมุมมองของผมแล้ว คำว่าราคาสินทรัพย์ ผมไม่รู้จริงๆว่าเค้าดูอะไรกันเป็นสำคัญ ผมจึงเลือกนำราคาอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นของประเทศไทยมาเป็นแกนหลักในการวิเคราะห์

1. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวขึ้นมากกว่า 11% นับจากเดือนสิงหาคม 2559 (บริเวณ 1560 จุด) และปัจจุบันได้วิ่งทะลุ 1700 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเม็ดเงินส่วนใหญ่ผมคาดว่าเป็นเม็ดเงินจากสถาบันและนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยในประเทศ ด้านต่างชาติ มีการขายหุ้นทิ้งต่อเนื่องถึง 3 แสนล้านบาท แต่ก็ไล่ซื้อกลับบ้างแล้วโดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกู้ราวๆ 2 แสนล้านบาท 


ดังนั้นการขึ้นของตลาดส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการปล่อยหุ้นกู้เพิ่มจำนวนมากราว 7 แสนล้านบาท แต่ก็คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เงินทุนจะไหลออกหากอเมริกามีการปรับดอกเบี้ยขึ้น

2. ราคาอสังหาริมทรัพย์



ในที่นี้ขอยกกรุงเทพมา เพราะเป็นเมืองหลวงและแหล่งการลงทุนที่สำคัญ มีการคาดการณ์ต่อไปในอนาคตว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในแถบเมืองหลวงซึ่งกระโดดไปแบบมหาศาล หากยกเรื่องการกู้ยืมของคนไทยมาเพิ่ม หนี้ครับเรือนระดับสูง และ NPL ที่เริ่มออกอาการ

            ผมมองว่าเรากำลังอยู่ในช่วง Ponzi finance” หรือก็คือระยะสุดท้ายก่อนเข้าสภาวะ Minsky moment เพราะข้อมูลหลายตัวบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกัน นั้นคือการกู้ยืมเพื่อนำมาลงทุน ยิ่งโดยสภาพการตลาดที่เงินจาก QE วิ่งเต็มระบบคอยวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ ดันราคาสินทรัพย์ทั่วโลกให้โป่งไปเรื่อยๆ หวังว่ายังจะพอมีเวลาให้เราๆได้เตรียมตัวสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้


อ้างอิง

Kingveggie

I'm a Dreamer who try something new. Such as write this Blog. ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น