การก่อหนี้ในมุมมองของ Minsky มีอยู่ 3 แบบคือ
1. Hedge finance หรือการกู้ยืมเงินแบบปลอดภัย
ธุรกิจที่กู้ยืมเงินแบบนี้จะมีกระแสเงินสดเกินพอเมื่อเทียบกับภาระการจ่ายคืนหนี้ทุกระยะ
และมีหนี้น้อยกว่ามูลค่าสินทรัพย์ (นั่นคือมีทุนเพียงพอ)
ธุรกิจเหล่านี้จะมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างน้อย
2. Speculative finance หรือการกู้ยืมเงินแบบเก็งกำไร
ธุรกิจที่กู้ยืมเงินแบบนี้อาจมี “กำไร” และมีสินทรัพย์เพียงพอต่อการจ่ายคืนหนี้ทั้งหมด
แต่มีกระแสเงินสดไม่เพียงพอกับภาระการจ่ายคืนหนี้ในแต่ละช่วงเวลา
แม้ว่ากระแสเงินสดจะเพียงพอต่อต้นทุนการกู้ยืมเงิน แต่อาจต้องพึ่งพาการ “rollover”
หนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อจ่ายคืนเงินต้น
การกู้ยืมเงินแบบนี้จึงอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย และสภาวะตลาด
3. “Ponzi” finance เป็นการกู้ยืมเงินแบบน่าเป็นห่วง
กระแสเงินสดของธุรกิจหรือของผู้กู้ไม่เพียงพอแม้แต่การจ่ายคืนต้นทุนการกู้ยืมเงิน
แต่เจ้าหนี้ยอมปล่อยกู้ให้ แม้ว่ามูลหนี้จะเพิ่มขึ้นไปตลอดระยะเวลาการกู้
เนื่องจากกระแสเงินสดมีไม่พอกับภาระการจ่ายคืนหนี้ เพราะเชื่อว่ามูลค่าของ “สินทรัพย์” ของผู้กู้จะเพิ่มขึ้นมากกว่ามูลหนี้
การกู้ยืมเงินแบบนี้มีความเสี่ยงต่อทั้งอัตราดอกเบี้ย (ที่จะเพิ่มภาระการจ่ายคืนหนี้)
สภาวะตลาด และมูลค่าของสินทรัพย์ของผู้กู้
ซึ่งคำกล่าวนี้เริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงกันเร็วๆนี้เมื่อ Zhou Xiaochuan ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน ออกมาเตือนว่า การที่ภาวะหนี้ภาคเอกชนและหนี้ครัวเรือนของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจดีมากในช่วงที่ผ่านมา อาจนำไปสู่ Minsky moment จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้ นี่จึงเป็นความเสี่ยงที่ควรได้รับการป้องกัน
ที่มา
วิเคราะห์
จากบทความที่อ่านมาพบว่ามีความกังวลในการเติบโตของจีน
อันส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ผมเห็นความน่าสนใจกับวงจรของ Minsky ว่าปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระดับไหนแล้ว?
ตามมุมมองของผมแล้ว
คำว่าราคาสินทรัพย์ ผมไม่รู้จริงๆว่าเค้าดูอะไรกันเป็นสำคัญ
ผมจึงเลือกนำราคาอสังหาริมทรัพย์
และตลาดหุ้นของประเทศไทยมาเป็นแกนหลักในการวิเคราะห์
1. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวขึ้นมากกว่า 11% นับจากเดือนสิงหาคม 2559 (บริเวณ 1560 จุด) และปัจจุบันได้วิ่งทะลุ 1700 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเม็ดเงินส่วนใหญ่ผมคาดว่าเป็นเม็ดเงินจากสถาบันและนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยในประเทศ ด้านต่างชาติ มีการขายหุ้นทิ้งต่อเนื่องถึง 3
แสนล้านบาท แต่ก็ไล่ซื้อกลับบ้างแล้วโดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกู้ราวๆ
2 แสนล้านบาท
ดังนั้นการขึ้นของตลาดส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการปล่อยหุ้นกู้เพิ่มจำนวนมากราว
7 แสนล้านบาท แต่ก็คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เงินทุนจะไหลออกหากอเมริกามีการปรับดอกเบี้ยขึ้น
2. ราคาอสังหาริมทรัพย์
ในที่นี้ขอยกกรุงเทพมา
เพราะเป็นเมืองหลวงและแหล่งการลงทุนที่สำคัญ
มีการคาดการณ์ต่อไปในอนาคตว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะในแถบเมืองหลวงซึ่งกระโดดไปแบบมหาศาล หากยกเรื่องการกู้ยืมของคนไทยมาเพิ่ม
หนี้ครับเรือนระดับสูง และ NPL ที่เริ่มออกอาการ
ผมมองว่าเรากำลังอยู่ในช่วง “Ponzi finance” หรือก็คือระยะสุดท้ายก่อนเข้าสภาวะ
Minsky
moment เพราะข้อมูลหลายตัวบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกัน
นั้นคือการกู้ยืมเพื่อนำมาลงทุน ยิ่งโดยสภาพการตลาดที่เงินจาก QE วิ่งเต็มระบบคอยวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
ดันราคาสินทรัพย์ทั่วโลกให้โป่งไปเรื่อยๆ
หวังว่ายังจะพอมีเวลาให้เราๆได้เตรียมตัวสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
อ้างอิง






ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น